"หมอค่ะ... ดิฉันก็ยังเดินได้ปร๋อ ไม่เห็นเจ็บตรงไหน ทำไมต้องกินยาจุกจิก รักษาโรคกระดูกพรุนด้วยค่ะ? รอให้ปวดก่อนค่อยรักษาไม่ได้เหรอ?"
คำถามนี้เป็นคำถามยอดฮิตที่หมอได้ยินแทบทุกวันที่ออกตรวจคลินิกกระดูกพรุนครับ และเป็นคำถามที่สะท้อนความเข้าใจผิดที่น่ากลัวที่สุดเกี่ยวกับโรคนี้
หลายคนยังมองว่า "โรคกระดูกพรุน" (Osteoporosis) เป็นเรื่องธรรมชาติของคนแก่ เป็นแล้วก็แค่กระดูกบางลงเฉยๆ ไม่ได้ร้ายแรงอะไรเหมือนเบาหวานหรือความดัน แต่ในความเป็นจริง ทางการแพทย์เราเรียกโรคนี้ว่า "มฤตยูเงียบ" (Silent Killer) ครับ
ทำไมถึงได้ฉายาที่น่ากลัวขนาดนั้น? ก็เพราะมัน "ไม่ปวด" จนกระทั่งวันสุดท้ายที่กระดูกของคุณ "หัก" ลงนั่นเองครับ และเมื่อถึงวันนั้น ชีวิตของคุณอาจจะเปลี่ยนไปตลอดกาล
วันนี้หมอจะขอมาเปิดใจคุยให้ฟังชัดๆ ว่า ทำไมเราต้องรักษากระดูกพรุน เป้าหมายจริงๆ ของการกินยาและดูแลตัวเองคืออะไร และถ้าเราดื้อแพ่งไม่รักษา... ปลายทางข้างหน้าจะมีอะไรรออยู่บ้าง?
ถ้าไม่รักษา... จะเกิดอะไรขึ้น? (ภาพอนาคตที่คุณเลือกเลี่ยงได้)
ก่อนจะไปคุยเรื่องการรักษา หมออยากให้เห็นภาพชัดๆ ก่อนว่า ถ้าปล่อยให้ "ปลวกกินเสาบ้าน" (ภาวะกระดูกพรุน) ไปเรื่อยๆ โดยไม่ทำอะไร จะเกิดผลกระทบอะไรตามมาบ้าง
1. กระดูกหักง่ายแบบไม่คาดฝัน (Fragility Fracture) นี่คือผลลัพธ์ที่น่ากลัวที่สุดครับ กระดูกคนเราปกติแข็งแรงมาก แต่พอพรุนถึงขีดสุด เพียงแค่กิจกรรมเบาๆ ก็ทำให้หักได้แล้ว เช่น
- แค่ไอหรือจามแรงๆ -> กระดูกสันหลังยุบ
- ก้มเก็บของ หรือเอี้ยวตัว -> กระดูกหลังหัก
- ล้มก้นกระแทกเบาๆ ในห้องน้ำ -> กระดูกสะโพกหัก
2. ภาวะโดมิโน่ (The Cascade Effect) เมื่อกระดูกชิ้นแรกหัก ความเสี่ยงที่กระดูกชิ้นต่อไปจะหักจะเพิ่มขึ้นทันทีแบบทวีคูณครับ เช่น คนที่เคยกระดูกหลังยุบ 1 ข้อ มีโอกาสสูงมากที่ข้อข้างๆ จะยุบตามมาในเวลาไม่นาน เพราะโครงสร้างการรับน้ำหนักเสียไปแล้ว
3. ความพิการและการสูญเสียอิสรภาพ
- ถ้ากระดูกสันหลังยุบ: ตัวจะเตี้ยลง หลังโก่งค่อม (Dowager's Hump) ทำให้ปวดหลังเรื้อรัง ท้องอืดเพราะหลังค่อมไปกดช่องท้อง และที่ร้ายแรงคือ ปอดขยายตัวได้ไม่ดี ทำให้เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก
- ถ้ากระดูกสะโพกหัก: นี่คือจุดเปลี่ยนชีวิตครับ สถิติพบว่าภายใน 1 ปีหลังสะโพกหัก ผู้ป่วยประมาณ 20% อาจเสียชีวิตจากโรคแทรกซ้อน (เช่น ปอดบวม แผลกดทับ ติดเชื้อในกระแสเลือด) และอีก 50% จะไม่สามารถกลับมาเดินได้เหมือนเดิม ต้องนั่งรถเข็น หรือนอนติดเตียงตลอดชีวิต
นี่คือเหตุผลที่หมอย้ำเสมอว่า "อย่ารอให้หัก เพราะเราอาจไม่มีโอกาสแก้ตัวรอบสอง"
เป้าหมายของการรักษากระดูกพรุน: ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือ "ชีวิต"
เวลาหมอจ่ายยา หรือแนะนำให้ทานแคลเซียม เป้าหมายของเราไม่ใช่แค่ต้องการให้ค่าตัวเลขในใบตรวจมวลกระดูก (Bone Density) มันสวยหรูขึ้นเท่านั้นครับ แต่เป้าหมายที่แท้จริงมี 3 ข้อหลักๆ ดังนี้
เป้าหมายที่ 1: ป้องกันกระดูกหัก "ครั้งแรก" (Primary Prevention) สำหรับคนที่กระดูกบางแล้วแต่ยังไม่เคยหัก เราต้องการเสริมความแข็งแกร่งให้กระดูก เพื่อให้คุณล้มแล้วไม่หัก หรือทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างมั่นใจ โดยการหยุดยั้งการสลายกระดูกและกระตุ้นการสร้างใหม่
เป้าหมายที่ 2: ป้องกันกระดูกหัก "ซ้ำ" (Secondary Prevention) สำหรับคนที่เคยหักมาแล้ว (เช่น เคยข้อมือหัก หรือหลังยุบ) การรักษาจะเข้มข้นขึ้นมาก เพื่อหยุดวงจรโดมิโน่ ไม่ให้กระดูกชิ้นใหญ่ๆ อย่างสะโพกหักตามมา
เป้าหมายที่ 3: คืนคุณภาพชีวิต (Quality of Life) การรักษาจะช่วยลดอาการปวด (จากกระดูกที่กำลังจะยุบ) ช่วยให้หลังไม่ค่อมลงไปมากกว่าเดิม ทำให้คุณยังคงความสูง บุคลิกภาพ และความสามารถในการช่วยเหลือตัวเองได้ ไม่ต้องเป็นภาระลูกหลานในการป้อนข้าวป้อนน้ำ หรือพาเข้าห้องน้ำ
กระบวนการรักษา: เราสู้กับความพรุนได้อย่างไร?
การรักษากระดูกพรุนในปัจจุบันก้าวหน้าไปมากครับ ไม่ได้มีแค่แคลเซียมเม็ดฟู่เหมือนสมัยก่อน หลักการรักษาจะประกอบด้วย 3 ส่วนสำคัญที่ต้องทำควบคู่กันครับ
1. ยาต้านกระดูกพรุน (Osteoporosis Medication) นี่คืออาวุธหลักครับ ยาในปัจจุบันแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
- กลุ่มยับยั้งการสลายกระดูก (Antiresorptive): เปรียบเหมือนการ "ไปห้ามปลวกไม่ให้กินไม้เพิ่ม" ทำให้กระดูกเก่าไม่ถูกทำลายไปมากกว่านี้
- กลุ่มกระตุ้นการสร้างกระดูก (Anabolic): เปรียบเหมือนการ "จ้างช่างมาฉาบปูนเพิ่ม" ช่วยสร้างเนื้อกระดูกใหม่ขึ้นมา (มักใช้ในรายที่เป็นรุนแรงมาก) รูปแบบยาก็หลากหลาย: มีทั้งกินอาทิตย์ละครั้ง กินเดือนละครั้ง หรือฉีด 6 เดือนครั้ง ไปจนถึงฉีดปีละครั้ง เพื่อความสะดวกของคนไข้
2. สารอาหารตั้งต้น (Nutrients) ยาจะทำงานไม่ได้ถ้าไม่มีวัตถุดิบครับ
- แคลเซียม: คืออิฐที่ใช้ก่อผนัง ต้องได้รับให้เพียงพอ (ประมาณ 800-1,000 มก. ต่อวัน จากอาหารและยาเสริม)
- วิตามินดี: คือรถบรรทุกที่ขนอิฐเข้าสู่ร่างกาย ถ้าขาดวิตามินดี กินแคลเซียมไปก็ดูดซึมไม่ได้ครับ
3. การปรับพฤติกรรมและลดความเสี่ยงล้ม (Lifestyle & Fall Prevention) ต่อให้กระดูกแข็งขึ้น แต่ถ้าล้มแรงๆ ก็หักได้อยู่ดีครับ ดังนั้น
- ต้องออกกำลังกายลงน้ำหนัก (Weight-bearing exercise) เช่น เดินเร็ว รำไทเก็ก เพื่อกระตุ้นกระดูก
- จัดบ้านให้ปลอดภัย ไม่มีพรมลื่นๆ มีราวจับในห้องน้ำ
- เช็กสายตา และยาที่ทำให้ง่วงซึม เพื่อลดโอกาสล้ม
ทำไมการรักษาถึงคุ้มค่า? (Invest in Yourself)
บางท่านอาจกังวลเรื่องค่ายา หรือความยุ่งยากในการกินยาต่อเนื่องหลายปี แต่หมออยากให้ลองชั่งน้ำหนักดูครับ
ต้นทุนของการรักษา:
- ค่ายาและวิตามิน (หลักร้อยถึงหลักพันต่อเดือน)
- วินัยในการกินยาและออกกำลังกาย
ต้นทุนของการ "ไม่รักษา" (เมื่อกระดูกหัก):
- ค่าผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพก หรือผ่าตัดดามหลัง (หลักแสนบาท)
- ค่าจ้างคนดูแลรายเดือน หรือค่าศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ (หลักหมื่นต่อเดือน ตลอดชีวิต)
- ความเจ็บปวดทรมานทางกาย
- ความทุกข์ใจของลูกหลานที่ต้องลางานมาดูแล
- "เวลา" และ "โอกาส" ในชีวิตที่หายไป (อดไปเที่ยว อดเล่นกับหลาน)
เมื่อเทียบกันแล้ว การรักษากระดูกพรุนคือ "การทำประกันสุขภาพ" ที่คุ้มค่าที่สุดครับ เป็นการจ่ายเพื่อซื้อ "อิสรภาพ" ในการเดินเหินของคุณเองในอนาคต
สรุป
โรคกระดูกพรุน ไม่ใช่โรคที่ควรมองข้ามเพียงเพราะ "วันนี้ยังไม่ปวด" ครับ
การรักษาโรคนี้มีเป้าหมายชัดเจนเพื่อปกป้องคุณจากฝันร้ายของการนอนติดเตียง และเพื่อให้คุณเป็นผู้สูงวัยที่แข็งแรง ยืนด้วยขาของตัวเองได้ ไปไหนมาไหนได้ดั่งใจ
อย่ารอให้ล้มแล้วค่อยเริ่มรักษาครับ เริ่มต้นดูแลสะสมความแข็งแรงของกระดูกตั้งแต่วันนี้ ปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจมวลกระดูก และถ้ารู้ว่าเป็น... "เริ่มรักษาทันที" คือคำตอบที่ดีที่สุดครับ
"กระดูกดี ชีวิตอิสระ คุณสร้างได้ครับ"
บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์ สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่ ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง) ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ จังหวัดเชียงใหม่ สอบถามปัญหาโรคกระดูกและข้อ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ปวดไหล่ กระดูกพรุน ได้ครับ 📱 Line ID: @doctorkeng โทร 081-5303666
#รักษากระดูกพรุน #เป้าหมายรักษากระดูกพรุน #กระดูกหักในผู้สูงอายุ #กระดูกสะโพกหัก #โรคกระดูกพรุน #ยาต้านกระดูกพรุน #มวลกระดูก #หมอเก่งกระดูกและข้อ #สังคมผู้สูงอายุ #ล้มแล้วหัก
References:
- Thai Osteoporosis Foundation (TOPF). Clinical Practice Guideline for Diagnosis and Management of Osteoporosis 2021.
- Camacho PM, et al. American Association of Clinical Endocrinologists/American College of Endocrinology Clinical Practice Guidelines for the Diagnosis and Treatment of Postmenopausal Osteoporosis - 2020 Update. Endocr Pract. 2020;26(Suppl 1):1-46.
- Eastell R, et al. Pharmacological Management of Osteoporosis in Postmenopausal Women: An Endocrine Society Clinical Practice Guideline. J Clin Endocrinol Metab. 2019;104(5):1595-1622.
- Kanis JA, et al. European guidance for the diagnosis and management of osteoporosis in postmenopausal women. Osteoporos Int. 2019;30(1):3-44.
- Office of the Surgeon General (US). Bone Health and Osteoporosis: A Report of the Surgeon General. Rockville (MD): Office of the Surgeon General (US); 2004. Chapter 9, The Consequences of Bone Disease.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น