วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2568

การเลือกยา "สร้างกระดูก" หรือ "ยับยั้งการทำลายกระดูก" ให้เหมาะกับคุณ

 



การเลือกยา "สร้างกระดูก" หรือ "ยับยั้งการทำลายกระดูก" ให้เหมาะกับคุณ

"ทำไมแม่ล้มเบา ๆ ถึงกระดูกหักเลยคะหมอ?" ลูกสาววัยกลางคนถามหมอด้วยสีหน้ากังวล ขณะเข็นรถเข็นที่มีคุณยายวัย 70 ปีกว่า ๆ นั่งอยู่ ท่านมีเฝือกอ่อนดามที่ข้อมือขวา

คุณยายเล่าให้หมอฟังด้วยเสียงเบา ๆ ว่า "ยายแค่สะดุดพรมในห้องรับแขก เอามือยันพื้นนิดเดียวเองนะหมอ เจ็บจี๊ดขึ้นมาเลย ไม่นึกว่าจะหัก"

นี่คือเรื่องราวที่หมอเจอเป็นประจำครับ หลายคนเข้าใจว่ากระดูกแข็งแรงเหมือนท่อนไม้ที่แห้งแล้ว คงสภาพเดิมตลอดเวลา แต่ความจริงแล้ว กระดูกของเราเป็น "สิ่งมีชีวิต" ที่มีการก่อสร้างและรื้อถอนอยู่ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง

ในร่างกายเรามีทีมงานอยู่ 2 ทีมครับ

  1. ทีมก่อสร้าง (Osteoblast): คอยถมปูน สร้างเนื้อกระดูกใหม่
  2. ทีมรื้อถอน (Osteoclast): คอยสกัดกระดูกเก่าที่เสื่อมสภาพออกไป

ในวัยหนุ่มสาว ทีมก่อสร้างทำงานเร็วกว่า แต่พออายุมากขึ้น โดยเฉพาะหลังหมดประจำเดือน ทีมรื้อถอนจะขยันผิดปกติ ทำลายเร็วกว่าสร้าง จนเนื้อกระดูกบางลง เป็นรูพรุนเหมือนฟองน้ำ และเปราะหักง่ายในที่สุด

วันนี้หมอจะพามาเจาะลึกเรื่อง "อาวุธ" ที่เราใช้ต่อสู้กับภาวะนี้ นั่นคือยารักษาโรคกระดูกพรุน ซึ่งแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือกลุ่ม "ยับยั้งการรื้อถอน" และกลุ่ม "เร่งการก่อสร้าง" เราจะเลือกใช้อย่างไร มาดูกันครับ

ยารักษาโรคกระดูกพรุน: ไม่ใช่แค่แคลเซียม

หลายท่านเข้าใจผิดว่า กินแคลเซียมกับวิตามินดีก็รักษาโรคกระดูกพรุนได้ ความจริงคือ แคลเซียมเป็นเหมือน "อิฐปูน" ส่วนวิตามินดีเป็น "รถขนปูน" ครับ

แต่ถ้า "ทีมช่าง" ในร่างกายไม่ยอมทำงาน หรือทีมรื้อถอนทำงานหนักเกินไป มีอิฐปูนมากแค่ไหน กระดูกก็ไม่แข็งแรงขึ้นครับ เราจึงจำเป็นต้องใช้ยาออกฤทธิ์เฉพาะทาง

กลุ่มที่ 1: ยายับยั้งการทำลายกระดูก (Antiresorptive Agents)"สั่งทีมรื้อถอน ให้หยุดทุบตึก"

นี่คือยากลุ่มมาตรฐานที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดครับ หลักการทำงานคือ ยาจะไปล็อกตัวเซลล์สลายกระดูก ทำให้หยุดการกัดกินเนื้อกระดูก ช่วย "ชะลอ" ความเสื่อม และรักษาความหนาแน่นของกระดูกที่มีอยู่ไว้ไม่ให้ลดลงไปมากกว่าเดิม

ยาในกลุ่มนี้ได้แก่:

  • ยากลุ่มบิสฟอสโฟเนต (Bisphosphonates): มีทั้งแบบกิน (สัปดาห์ละครั้ง หรือเดือนละครั้ง) และแบบฉีดเข้าเส้นเลือด (ปีละครั้ง) เป็นยาพื้นฐานที่ใช้กันทั่วโลก
  • ยาฉีดเข้าชั้นไขมัน (Denosumab): ฉีดทุก 6 เดือน ออกฤทธิ์ยับยั้งการเติบโตของเซลล์สลายกระดูกได้ดีมาก

ข้อดี:

  • มีข้อมูลการศึกษายาวนาน มั่นใจได้ในความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
  • ราคามีความหลากหลาย เข้าถึงได้ง่าย
  • ช่วยลดความเสี่ยงกระดูกสันหลังและกระดูกสะโพกหักได้ดี

ข้อควรระวัง:

  • แบบกิน อาจระคายเคืองทางเดินอาหาร ต้องกินตอนท้องว่างและนั่งตัวตรงอย่างน้อย 30-60 นาที
  • ผลข้างเคียงที่พบได้น้อยมากแต่ต้องระวัง คือ ภาวะกระดูกขากรรไกรตาย (มักสัมพันธ์กับการถอนฟันหรือผ่าตัดช่องปากใหญ่ๆ) หรือกระดูกต้นขาหักในรูปแบบแปลกๆ ดังนั้นหากปวดฟันหรือปวดต้นขาต้องแจ้งแพทย์ทันที

กลุ่มที่ 2: ยากระตุ้นการสร้างกระดูก (Bone Formation Agents)"จ้างทีมก่อสร้างชุดพิเศษ ให้เร่งเทปูน"

ยากลุ่มนี้เปรียบเสมือนการจ้างผู้รับเหมาเกรดพรีเมียมมาเร่งงานก่อสร้างครับ ยาจะออกฤทธิ์กระตุ้นให้เซลล์สร้างกระดูกทำงานอย่างหนัก ทำให้มวลกระดูกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และโครงสร้างภายในกระดูกเชื่อมต่อกันดีขึ้น

ยาในกลุ่มนี้ได้แก่:

  • เทอริพาราไทด์ (Teriparatide): เป็นยาฉีดเข้าชั้นไขมันทุกวัน (ผู้ป่วยฉีดเองที่บ้านได้ เหมือนฉีดอินซูลินเบาหวาน) เลียนแบบฮอร์โมนพาราไทรอยด์
  • โรโมโซซูแมบ (Romosozumab): ยาตัวใหม่ที่เป็นแบบ "ลูกผสม" คือกระตุ้นการสร้างกระดูกด้วย และช่วยยับยั้งการสลายกระดูกไปพร้อมกัน (Dual Action) ฉีดเดือนละครั้ง

ข้อดี:

  • เพิ่มมวลกระดูกได้ "เร็วกว่า" และ "มากกว่า" กลุ่มแรกชัดเจน
  • เหมาะมากสำหรับคนที่กระดูกบางขั้นรุนแรง หรือคนที่กระดูกหักไปแล้วและต้องการให้เชื่อมติดเร็วขึ้น
  • ลดความเสี่ยงกระดูกหักซ้ำได้ดีเยี่ยม

ข้อควรระวัง:

  • ราคาสูงกว่ากลุ่มแรกค่อนข้างมาก
  • ต้องฉีดต่อเนื่อง ขาดไม่ได้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์สูงสุด

แนวทางการเลือกใช้ยา: แบบไหนเหมาะกับใคร?

การตัดสินใจเลือกยา ไม่ใช่การเสี่ยงดวงครับ แต่แพทย์จะพิจารณาจากปัจจัยเหล่านี้:

  1. ความรุนแรงของโรค:
    • ถ้ากระดูกพรุนปานกลาง ถึง มาก แต่ยังไม่เคยกระดูกหัก: มักเริ่มด้วย "ยายับยั้งการทำลาย" เพราะเพียงพอที่จะคุมอาการได้
    • ถ้ากระดูกพรุนรุนแรงมาก (ค่า T-score ต่ำกว่า -3.0) หรือ เคยกระดูกหักมาแล้วหลายครั้ง หรือ หักขณะที่กินยาเดิมอยู่: แพทย์อาจแนะนำ "ยากระตุ้นการสร้าง" เพื่อกู้คืนความแข็งแรงให้เร็วที่สุด แล้วค่อยเปลี่ยนกลับมาใช้ยายับยั้งเพื่อคงสภาพต่อ
  2. ความสะดวกของผู้ป่วย:
    • บางท่านไม่สะดวกรัประทานยาแล้วต้องนั่งตัวตรง ก็อาจเลี่ยงยากินมาเป็นยาฉีด
    • บางท่านไม่กล้าฉีดยาเองทุกวัน ก็อาจจะไม่เหมาะกับยากระตุ้นการสร้างบางตัว
  3. โรคประจำตัว:
    • ผู้ป่วยโรคไตเสื่อมระยะรุนแรง อาจมีข้อจำกัดในการใช้ยาบางกลุ่ม ซึ่งต้องปรับขนาดยาหรือเลือกชนิดยาที่ขับออกทางอื่นที่ไม่ใช่ไต

การตรวจวินิจฉัยและการติดตามผล

การจะรู้ว่าต้องใช้ยาตัวไหน เราต้องตรวจวัดความหนาแน่นมวลกระดูกด้วยเครื่อง DXA Scan (Dual-energy X-ray Absorptiometry) เท่านั้นครับ การเอกซเรย์ธรรมดาอาจมองไม่เห็นความพรุนจนกว่ากระดูกจะบางไปแล้วกว่า 30%

หลังจากเริ่มรักษา แพทย์จะนัดตรวจ DXA ซ้ำทุก 1-2 ปี เพื่อดูแนวโน้มว่ากราฟกระดูกของเรา "เชิดหัวขึ้น" หรืออย่างน้อย "ประคองตัว" ไม่ตกลงไปกว่าเดิมหรือไม่

หากใช้ยาแล้วค่ามวลกระดูกยังลดลง หรือยังมีกระดูกหักเพิ่ม แพทย์จะพิจารณา "เปลี่ยนแผนการเล่น" อาจเปลี่ยนจากยากินเป็นยาฉีด หรือเปลี่ยนกลุ่มยาให้แรงขึ้นครับ

สรุป

โรคกระดูกพรุน รักษาได้และป้องกันกระดูกหักได้ครับ กุญแจสำคัญคือการเลือก "อาวุธ" ให้ถูกกับศัตรู

  • กลุ่มยับยั้งการทำลาย: เหมาะสำหรับผู้ป่วยส่วนใหญ่ เพื่อคงสภาพกระดูก ป้องกันการหัก
  • กลุ่มกระตุ้นการสร้าง: เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงมาก หรือกระดูกหักแล้ว ต้องการการฟื้นฟูเร่งด่วน

ไม่ว่าท่านจะได้รับยาตัวไหน สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ "วัตถุดิบ" ครับ ท่านยังคงต้องทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง รับแสงแดดอ่อนๆ เพื่อสังเคราะห์วิตามินดี และออกกำลังกายลงน้ำหนัก (Weight-bearing exercise) เช่น การเดิน เพื่อกระตุ้นให้กระดูกรับรู้แรงกระแทกและสร้างความแข็งแรง

อย่ารอให้ล้มแล้วค่อยรักษา เพราะกระดูกที่แข็งแรง คือรากฐานของชีวิตที่อิสระในวัยเกษียณครับ

บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์ สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่ ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง) ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ จังหวัดเชียงใหม่ สอบถามปัญหาโรคกระดูกและข้อ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ปวดไหล่ กระดูกพรุน ได้ครับ 📱 Line ID: @doctorkeng โทร 081-5303666

#กระดูกพรุน #ยากระดูกพรุน #รักษากระดูกพรุน #กระดูกหักในผู้สูงอายุ #มวลกระดูกบาง #หมอเก่งกระดูกและข้อ #ป้องกันกระดูกหัก #แคลเซียม #วิตามินดี #สุขภาพผู้สูงวัย


References:

  1. Camacho PM, Petak SM, Binkley N, et al. American Association of Clinical Endocrinologists/American College of Endocrinology Clinical Practice Guidelines for the Diagnosis and Treatment of Postmenopausal Osteoporosis - 2020 Update. Endocr Pract. 2020;26(Suppl 1):1-46.
  2. Eastell R, Rosen CJ, Black DM, et al. Pharmacological Management of Osteoporosis in Postmenopausal Women: An Endocrine Society* Clinical Practice Guideline. J Clin Endocrinol Metab. 2019;104(5):1595-1622.
  3. Kanis JA, Cooper C, Rizzoli R, Reginster JY. European guidance for the diagnosis and management of osteoporosis in postmenopausal women. Osteoporos Int. 2019;30(1):3-44.
  4. Leereunphan T. Osteoporosis Management in Clinical Practice. Chiang Mai Medical Journal. 2023;62(3):145-155.
  5. Thai Osteoporosis Foundation (TOPF). Clinical Practice Guideline for Management of Osteoporosis 2021. Bangkok: TOPF; 2021.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น