การเลือกยา "สร้างกระดูก" หรือ "ยับยั้งการทำลายกระดูก" ให้เหมาะกับคุณ
"ทำไมแม่ล้มเบา ๆ ถึงกระดูกหักเลยคะหมอ?" ลูกสาววัยกลางคนถามหมอด้วยสีหน้ากังวล ขณะเข็นรถเข็นที่มีคุณยายวัย 70 ปีกว่า ๆ นั่งอยู่ ท่านมีเฝือกอ่อนดามที่ข้อมือขวา
คุณยายเล่าให้หมอฟังด้วยเสียงเบา ๆ ว่า "ยายแค่สะดุดพรมในห้องรับแขก เอามือยันพื้นนิดเดียวเองนะหมอ เจ็บจี๊ดขึ้นมาเลย ไม่นึกว่าจะหัก"
นี่คือเรื่องราวที่หมอเจอเป็นประจำครับ หลายคนเข้าใจว่ากระดูกแข็งแรงเหมือนท่อนไม้ที่แห้งแล้ว คงสภาพเดิมตลอดเวลา แต่ความจริงแล้ว กระดูกของเราเป็น "สิ่งมีชีวิต" ที่มีการก่อสร้างและรื้อถอนอยู่ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
ในร่างกายเรามีทีมงานอยู่ 2 ทีมครับ
- ทีมก่อสร้าง (Osteoblast): คอยถมปูน สร้างเนื้อกระดูกใหม่
- ทีมรื้อถอน (Osteoclast): คอยสกัดกระดูกเก่าที่เสื่อมสภาพออกไป
ในวัยหนุ่มสาว ทีมก่อสร้างทำงานเร็วกว่า แต่พออายุมากขึ้น โดยเฉพาะหลังหมดประจำเดือน ทีมรื้อถอนจะขยันผิดปกติ ทำลายเร็วกว่าสร้าง จนเนื้อกระดูกบางลง เป็นรูพรุนเหมือนฟองน้ำ และเปราะหักง่ายในที่สุด
วันนี้หมอจะพามาเจาะลึกเรื่อง "อาวุธ" ที่เราใช้ต่อสู้กับภาวะนี้ นั่นคือยารักษาโรคกระดูกพรุน ซึ่งแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือกลุ่ม "ยับยั้งการรื้อถอน" และกลุ่ม "เร่งการก่อสร้าง" เราจะเลือกใช้อย่างไร มาดูกันครับ
ยารักษาโรคกระดูกพรุน: ไม่ใช่แค่แคลเซียม
หลายท่านเข้าใจผิดว่า กินแคลเซียมกับวิตามินดีก็รักษาโรคกระดูกพรุนได้ ความจริงคือ แคลเซียมเป็นเหมือน "อิฐปูน" ส่วนวิตามินดีเป็น "รถขนปูน" ครับ
แต่ถ้า "ทีมช่าง" ในร่างกายไม่ยอมทำงาน หรือทีมรื้อถอนทำงานหนักเกินไป มีอิฐปูนมากแค่ไหน กระดูกก็ไม่แข็งแรงขึ้นครับ เราจึงจำเป็นต้องใช้ยาออกฤทธิ์เฉพาะทาง
กลุ่มที่ 1: ยายับยั้งการทำลายกระดูก (Antiresorptive Agents)"สั่งทีมรื้อถอน ให้หยุดทุบตึก"
นี่คือยากลุ่มมาตรฐานที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดครับ หลักการทำงานคือ ยาจะไปล็อกตัวเซลล์สลายกระดูก ทำให้หยุดการกัดกินเนื้อกระดูก ช่วย "ชะลอ" ความเสื่อม และรักษาความหนาแน่นของกระดูกที่มีอยู่ไว้ไม่ให้ลดลงไปมากกว่าเดิม
ยาในกลุ่มนี้ได้แก่:
- ยากลุ่มบิสฟอสโฟเนต (Bisphosphonates): มีทั้งแบบกิน (สัปดาห์ละครั้ง หรือเดือนละครั้ง) และแบบฉีดเข้าเส้นเลือด (ปีละครั้ง) เป็นยาพื้นฐานที่ใช้กันทั่วโลก
- ยาฉีดเข้าชั้นไขมัน (Denosumab): ฉีดทุก 6 เดือน ออกฤทธิ์ยับยั้งการเติบโตของเซลล์สลายกระดูกได้ดีมาก
ข้อดี:
- มีข้อมูลการศึกษายาวนาน มั่นใจได้ในความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
- ราคามีความหลากหลาย เข้าถึงได้ง่าย
- ช่วยลดความเสี่ยงกระดูกสันหลังและกระดูกสะโพกหักได้ดี
ข้อควรระวัง:
- แบบกิน อาจระคายเคืองทางเดินอาหาร ต้องกินตอนท้องว่างและนั่งตัวตรงอย่างน้อย 30-60 นาที
- ผลข้างเคียงที่พบได้น้อยมากแต่ต้องระวัง คือ ภาวะกระดูกขากรรไกรตาย (มักสัมพันธ์กับการถอนฟันหรือผ่าตัดช่องปากใหญ่ๆ) หรือกระดูกต้นขาหักในรูปแบบแปลกๆ ดังนั้นหากปวดฟันหรือปวดต้นขาต้องแจ้งแพทย์ทันที
กลุ่มที่ 2: ยากระตุ้นการสร้างกระดูก (Bone Formation Agents)"จ้างทีมก่อสร้างชุดพิเศษ ให้เร่งเทปูน"
ยากลุ่มนี้เปรียบเสมือนการจ้างผู้รับเหมาเกรดพรีเมียมมาเร่งงานก่อสร้างครับ ยาจะออกฤทธิ์กระตุ้นให้เซลล์สร้างกระดูกทำงานอย่างหนัก ทำให้มวลกระดูกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และโครงสร้างภายในกระดูกเชื่อมต่อกันดีขึ้น
ยาในกลุ่มนี้ได้แก่:
- เทอริพาราไทด์ (Teriparatide): เป็นยาฉีดเข้าชั้นไขมันทุกวัน (ผู้ป่วยฉีดเองที่บ้านได้ เหมือนฉีดอินซูลินเบาหวาน) เลียนแบบฮอร์โมนพาราไทรอยด์
- โรโมโซซูแมบ (Romosozumab): ยาตัวใหม่ที่เป็นแบบ "ลูกผสม" คือกระตุ้นการสร้างกระดูกด้วย และช่วยยับยั้งการสลายกระดูกไปพร้อมกัน (Dual Action) ฉีดเดือนละครั้ง
ข้อดี:
- เพิ่มมวลกระดูกได้ "เร็วกว่า" และ "มากกว่า" กลุ่มแรกชัดเจน
- เหมาะมากสำหรับคนที่กระดูกบางขั้นรุนแรง หรือคนที่กระดูกหักไปแล้วและต้องการให้เชื่อมติดเร็วขึ้น
- ลดความเสี่ยงกระดูกหักซ้ำได้ดีเยี่ยม
ข้อควรระวัง:
- ราคาสูงกว่ากลุ่มแรกค่อนข้างมาก
- ต้องฉีดต่อเนื่อง ขาดไม่ได้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์สูงสุด
แนวทางการเลือกใช้ยา: แบบไหนเหมาะกับใคร?
การตัดสินใจเลือกยา ไม่ใช่การเสี่ยงดวงครับ แต่แพทย์จะพิจารณาจากปัจจัยเหล่านี้:
- ความรุนแรงของโรค:
- ถ้ากระดูกพรุนปานกลาง ถึง มาก แต่ยังไม่เคยกระดูกหัก: มักเริ่มด้วย "ยายับยั้งการทำลาย" เพราะเพียงพอที่จะคุมอาการได้
- ถ้ากระดูกพรุนรุนแรงมาก (ค่า T-score ต่ำกว่า -3.0) หรือ เคยกระดูกหักมาแล้วหลายครั้ง หรือ หักขณะที่กินยาเดิมอยู่: แพทย์อาจแนะนำ "ยากระตุ้นการสร้าง" เพื่อกู้คืนความแข็งแรงให้เร็วที่สุด แล้วค่อยเปลี่ยนกลับมาใช้ยายับยั้งเพื่อคงสภาพต่อ
- ความสะดวกของผู้ป่วย:
- บางท่านไม่สะดวกรัประทานยาแล้วต้องนั่งตัวตรง ก็อาจเลี่ยงยากินมาเป็นยาฉีด
- บางท่านไม่กล้าฉีดยาเองทุกวัน ก็อาจจะไม่เหมาะกับยากระตุ้นการสร้างบางตัว
- โรคประจำตัว:
- ผู้ป่วยโรคไตเสื่อมระยะรุนแรง อาจมีข้อจำกัดในการใช้ยาบางกลุ่ม ซึ่งต้องปรับขนาดยาหรือเลือกชนิดยาที่ขับออกทางอื่นที่ไม่ใช่ไต
การตรวจวินิจฉัยและการติดตามผล
การจะรู้ว่าต้องใช้ยาตัวไหน เราต้องตรวจวัดความหนาแน่นมวลกระดูกด้วยเครื่อง DXA Scan (Dual-energy X-ray Absorptiometry) เท่านั้นครับ การเอกซเรย์ธรรมดาอาจมองไม่เห็นความพรุนจนกว่ากระดูกจะบางไปแล้วกว่า 30%
หลังจากเริ่มรักษา แพทย์จะนัดตรวจ DXA ซ้ำทุก 1-2 ปี เพื่อดูแนวโน้มว่ากราฟกระดูกของเรา "เชิดหัวขึ้น" หรืออย่างน้อย "ประคองตัว" ไม่ตกลงไปกว่าเดิมหรือไม่
หากใช้ยาแล้วค่ามวลกระดูกยังลดลง หรือยังมีกระดูกหักเพิ่ม แพทย์จะพิจารณา "เปลี่ยนแผนการเล่น" อาจเปลี่ยนจากยากินเป็นยาฉีด หรือเปลี่ยนกลุ่มยาให้แรงขึ้นครับ
สรุป
โรคกระดูกพรุน รักษาได้และป้องกันกระดูกหักได้ครับ กุญแจสำคัญคือการเลือก "อาวุธ" ให้ถูกกับศัตรู
- กลุ่มยับยั้งการทำลาย: เหมาะสำหรับผู้ป่วยส่วนใหญ่ เพื่อคงสภาพกระดูก ป้องกันการหัก
- กลุ่มกระตุ้นการสร้าง: เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงมาก หรือกระดูกหักแล้ว ต้องการการฟื้นฟูเร่งด่วน
ไม่ว่าท่านจะได้รับยาตัวไหน สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ "วัตถุดิบ" ครับ ท่านยังคงต้องทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง รับแสงแดดอ่อนๆ เพื่อสังเคราะห์วิตามินดี และออกกำลังกายลงน้ำหนัก (Weight-bearing exercise) เช่น การเดิน เพื่อกระตุ้นให้กระดูกรับรู้แรงกระแทกและสร้างความแข็งแรง
อย่ารอให้ล้มแล้วค่อยรักษา เพราะกระดูกที่แข็งแรง คือรากฐานของชีวิตที่อิสระในวัยเกษียณครับ
บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์ สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่ ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง) ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ จังหวัดเชียงใหม่ สอบถามปัญหาโรคกระดูกและข้อ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ปวดไหล่ กระดูกพรุน ได้ครับ 📱 Line ID: @doctorkeng โทร 081-5303666
#กระดูกพรุน #ยากระดูกพรุน #รักษากระดูกพรุน #กระดูกหักในผู้สูงอายุ #มวลกระดูกบาง #หมอเก่งกระดูกและข้อ #ป้องกันกระดูกหัก #แคลเซียม #วิตามินดี #สุขภาพผู้สูงวัย
References:
- Camacho PM, Petak SM, Binkley N, et al. American Association of Clinical Endocrinologists/American College of Endocrinology Clinical Practice Guidelines for the Diagnosis and Treatment of Postmenopausal Osteoporosis - 2020 Update. Endocr Pract. 2020;26(Suppl 1):1-46.
- Eastell R, Rosen CJ, Black DM, et al. Pharmacological Management of Osteoporosis in Postmenopausal Women: An Endocrine Society* Clinical Practice Guideline. J Clin Endocrinol Metab. 2019;104(5):1595-1622.
- Kanis JA, Cooper C, Rizzoli R, Reginster JY. European guidance for the diagnosis and management of osteoporosis in postmenopausal women. Osteoporos Int. 2019;30(1):3-44.
- Leereunphan T. Osteoporosis Management in Clinical Practice. Chiang Mai Medical Journal. 2023;62(3):145-155.
- Thai Osteoporosis Foundation (TOPF). Clinical Practice Guideline for Management of Osteoporosis 2021. Bangkok: TOPF; 2021.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น