วันจันทร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2568

ดิฉันก็ยังเดินได้ปร๋อ ไม่เห็นเจ็บตรงไหน ทำไมต้องกินยาจุกจิก รักษาโรคกระดูกพรุนด้วยค่ะ? รอให้ปวดก่อนค่อยรักษาไม่ได้เหรอ?"

 



"หมอค่ะ... ดิฉันก็ยังเดินได้ปร๋อ ไม่เห็นเจ็บตรงไหน ทำไมต้องกินยาจุกจิก รักษาโรคกระดูกพรุนด้วยค่ะ? รอให้ปวดก่อนค่อยรักษาไม่ได้เหรอ?"

คำถามนี้เป็นคำถามยอดฮิตที่หมอได้ยินแทบทุกวันที่ออกตรวจคลินิกกระดูกพรุนครับ และเป็นคำถามที่สะท้อนความเข้าใจผิดที่น่ากลัวที่สุดเกี่ยวกับโรคนี้

หลายคนยังมองว่า "โรคกระดูกพรุน" (Osteoporosis) เป็นเรื่องธรรมชาติของคนแก่ เป็นแล้วก็แค่กระดูกบางลงเฉยๆ ไม่ได้ร้ายแรงอะไรเหมือนเบาหวานหรือความดัน แต่ในความเป็นจริง ทางการแพทย์เราเรียกโรคนี้ว่า "มฤตยูเงียบ" (Silent Killer) ครับ

ทำไมถึงได้ฉายาที่น่ากลัวขนาดนั้น? ก็เพราะมัน "ไม่ปวด" จนกระทั่งวันสุดท้ายที่กระดูกของคุณ "หัก" ลงนั่นเองครับ และเมื่อถึงวันนั้น ชีวิตของคุณอาจจะเปลี่ยนไปตลอดกาล

วันนี้หมอจะขอมาเปิดใจคุยให้ฟังชัดๆ ว่า ทำไมเราต้องรักษากระดูกพรุน เป้าหมายจริงๆ ของการกินยาและดูแลตัวเองคืออะไร และถ้าเราดื้อแพ่งไม่รักษา... ปลายทางข้างหน้าจะมีอะไรรออยู่บ้าง?

ถ้าไม่รักษา... จะเกิดอะไรขึ้น? (ภาพอนาคตที่คุณเลือกเลี่ยงได้)

ก่อนจะไปคุยเรื่องการรักษา หมออยากให้เห็นภาพชัดๆ ก่อนว่า ถ้าปล่อยให้ "ปลวกกินเสาบ้าน" (ภาวะกระดูกพรุน) ไปเรื่อยๆ โดยไม่ทำอะไร จะเกิดผลกระทบอะไรตามมาบ้าง

1. กระดูกหักง่ายแบบไม่คาดฝัน (Fragility Fracture) นี่คือผลลัพธ์ที่น่ากลัวที่สุดครับ กระดูกคนเราปกติแข็งแรงมาก แต่พอพรุนถึงขีดสุด เพียงแค่กิจกรรมเบาๆ ก็ทำให้หักได้แล้ว เช่น

  • แค่ไอหรือจามแรงๆ -> กระดูกสันหลังยุบ
  • ก้มเก็บของ หรือเอี้ยวตัว -> กระดูกหลังหัก
  • ล้มก้นกระแทกเบาๆ ในห้องน้ำ -> กระดูกสะโพกหัก

2. ภาวะโดมิโน่ (The Cascade Effect) เมื่อกระดูกชิ้นแรกหัก ความเสี่ยงที่กระดูกชิ้นต่อไปจะหักจะเพิ่มขึ้นทันทีแบบทวีคูณครับ เช่น คนที่เคยกระดูกหลังยุบ 1 ข้อ มีโอกาสสูงมากที่ข้อข้างๆ จะยุบตามมาในเวลาไม่นาน เพราะโครงสร้างการรับน้ำหนักเสียไปแล้ว

3. ความพิการและการสูญเสียอิสรภาพ

  • ถ้ากระดูกสันหลังยุบ: ตัวจะเตี้ยลง หลังโก่งค่อม (Dowager's Hump) ทำให้ปวดหลังเรื้อรัง ท้องอืดเพราะหลังค่อมไปกดช่องท้อง และที่ร้ายแรงคือ ปอดขยายตัวได้ไม่ดี ทำให้เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก
  • ถ้ากระดูกสะโพกหัก: นี่คือจุดเปลี่ยนชีวิตครับ สถิติพบว่าภายใน 1 ปีหลังสะโพกหัก ผู้ป่วยประมาณ 20% อาจเสียชีวิตจากโรคแทรกซ้อน (เช่น ปอดบวม แผลกดทับ ติดเชื้อในกระแสเลือด) และอีก 50% จะไม่สามารถกลับมาเดินได้เหมือนเดิม ต้องนั่งรถเข็น หรือนอนติดเตียงตลอดชีวิต

นี่คือเหตุผลที่หมอย้ำเสมอว่า "อย่ารอให้หัก เพราะเราอาจไม่มีโอกาสแก้ตัวรอบสอง"

เป้าหมายของการรักษากระดูกพรุน: ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือ "ชีวิต"

เวลาหมอจ่ายยา หรือแนะนำให้ทานแคลเซียม เป้าหมายของเราไม่ใช่แค่ต้องการให้ค่าตัวเลขในใบตรวจมวลกระดูก (Bone Density) มันสวยหรูขึ้นเท่านั้นครับ แต่เป้าหมายที่แท้จริงมี 3 ข้อหลักๆ ดังนี้

เป้าหมายที่ 1: ป้องกันกระดูกหัก "ครั้งแรก" (Primary Prevention) สำหรับคนที่กระดูกบางแล้วแต่ยังไม่เคยหัก เราต้องการเสริมความแข็งแกร่งให้กระดูก เพื่อให้คุณล้มแล้วไม่หัก หรือทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างมั่นใจ โดยการหยุดยั้งการสลายกระดูกและกระตุ้นการสร้างใหม่

เป้าหมายที่ 2: ป้องกันกระดูกหัก "ซ้ำ" (Secondary Prevention) สำหรับคนที่เคยหักมาแล้ว (เช่น เคยข้อมือหัก หรือหลังยุบ) การรักษาจะเข้มข้นขึ้นมาก เพื่อหยุดวงจรโดมิโน่ ไม่ให้กระดูกชิ้นใหญ่ๆ อย่างสะโพกหักตามมา

เป้าหมายที่ 3: คืนคุณภาพชีวิต (Quality of Life) การรักษาจะช่วยลดอาการปวด (จากกระดูกที่กำลังจะยุบ) ช่วยให้หลังไม่ค่อมลงไปมากกว่าเดิม ทำให้คุณยังคงความสูง บุคลิกภาพ และความสามารถในการช่วยเหลือตัวเองได้ ไม่ต้องเป็นภาระลูกหลานในการป้อนข้าวป้อนน้ำ หรือพาเข้าห้องน้ำ

กระบวนการรักษา: เราสู้กับความพรุนได้อย่างไร?

การรักษากระดูกพรุนในปัจจุบันก้าวหน้าไปมากครับ ไม่ได้มีแค่แคลเซียมเม็ดฟู่เหมือนสมัยก่อน หลักการรักษาจะประกอบด้วย 3 ส่วนสำคัญที่ต้องทำควบคู่กันครับ

1. ยาต้านกระดูกพรุน (Osteoporosis Medication) นี่คืออาวุธหลักครับ ยาในปัจจุบันแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ

  • กลุ่มยับยั้งการสลายกระดูก (Antiresorptive): เปรียบเหมือนการ "ไปห้ามปลวกไม่ให้กินไม้เพิ่ม" ทำให้กระดูกเก่าไม่ถูกทำลายไปมากกว่านี้
  • กลุ่มกระตุ้นการสร้างกระดูก (Anabolic): เปรียบเหมือนการ "จ้างช่างมาฉาบปูนเพิ่ม" ช่วยสร้างเนื้อกระดูกใหม่ขึ้นมา (มักใช้ในรายที่เป็นรุนแรงมาก) รูปแบบยาก็หลากหลาย: มีทั้งกินอาทิตย์ละครั้ง กินเดือนละครั้ง หรือฉีด 6 เดือนครั้ง ไปจนถึงฉีดปีละครั้ง เพื่อความสะดวกของคนไข้

2. สารอาหารตั้งต้น (Nutrients) ยาจะทำงานไม่ได้ถ้าไม่มีวัตถุดิบครับ

  • แคลเซียม: คืออิฐที่ใช้ก่อผนัง ต้องได้รับให้เพียงพอ (ประมาณ 800-1,000 มก. ต่อวัน จากอาหารและยาเสริม)
  • วิตามินดี: คือรถบรรทุกที่ขนอิฐเข้าสู่ร่างกาย ถ้าขาดวิตามินดี กินแคลเซียมไปก็ดูดซึมไม่ได้ครับ

3. การปรับพฤติกรรมและลดความเสี่ยงล้ม (Lifestyle & Fall Prevention) ต่อให้กระดูกแข็งขึ้น แต่ถ้าล้มแรงๆ ก็หักได้อยู่ดีครับ ดังนั้น

  • ต้องออกกำลังกายลงน้ำหนัก (Weight-bearing exercise) เช่น เดินเร็ว รำไทเก็ก เพื่อกระตุ้นกระดูก
  • จัดบ้านให้ปลอดภัย ไม่มีพรมลื่นๆ มีราวจับในห้องน้ำ
  • เช็กสายตา และยาที่ทำให้ง่วงซึม เพื่อลดโอกาสล้ม

ทำไมการรักษาถึงคุ้มค่า? (Invest in Yourself)

บางท่านอาจกังวลเรื่องค่ายา หรือความยุ่งยากในการกินยาต่อเนื่องหลายปี แต่หมออยากให้ลองชั่งน้ำหนักดูครับ

ต้นทุนของการรักษา:

  • ค่ายาและวิตามิน (หลักร้อยถึงหลักพันต่อเดือน)
  • วินัยในการกินยาและออกกำลังกาย

ต้นทุนของการ "ไม่รักษา" (เมื่อกระดูกหัก):

  • ค่าผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพก หรือผ่าตัดดามหลัง (หลักแสนบาท)
  • ค่าจ้างคนดูแลรายเดือน หรือค่าศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ (หลักหมื่นต่อเดือน ตลอดชีวิต)
  • ความเจ็บปวดทรมานทางกาย
  • ความทุกข์ใจของลูกหลานที่ต้องลางานมาดูแล
  • "เวลา" และ "โอกาส" ในชีวิตที่หายไป (อดไปเที่ยว อดเล่นกับหลาน)

เมื่อเทียบกันแล้ว การรักษากระดูกพรุนคือ "การทำประกันสุขภาพ" ที่คุ้มค่าที่สุดครับ เป็นการจ่ายเพื่อซื้อ "อิสรภาพ" ในการเดินเหินของคุณเองในอนาคต

สรุป

โรคกระดูกพรุน ไม่ใช่โรคที่ควรมองข้ามเพียงเพราะ "วันนี้ยังไม่ปวด" ครับ

การรักษาโรคนี้มีเป้าหมายชัดเจนเพื่อปกป้องคุณจากฝันร้ายของการนอนติดเตียง และเพื่อให้คุณเป็นผู้สูงวัยที่แข็งแรง ยืนด้วยขาของตัวเองได้ ไปไหนมาไหนได้ดั่งใจ

อย่ารอให้ล้มแล้วค่อยเริ่มรักษาครับ เริ่มต้นดูแลสะสมความแข็งแรงของกระดูกตั้งแต่วันนี้ ปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจมวลกระดูก และถ้ารู้ว่าเป็น... "เริ่มรักษาทันที" คือคำตอบที่ดีที่สุดครับ

"กระดูกดี ชีวิตอิสระ คุณสร้างได้ครับ"

บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์ สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่ ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง) ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ จังหวัดเชียงใหม่ สอบถามปัญหาโรคกระดูกและข้อ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ปวดไหล่ กระดูกพรุน ได้ครับ 📱 Line ID: @doctorkeng โทร 081-5303666

#รักษากระดูกพรุน #เป้าหมายรักษากระดูกพรุน #กระดูกหักในผู้สูงอายุ #กระดูกสะโพกหัก #โรคกระดูกพรุน #ยาต้านกระดูกพรุน #มวลกระดูก #หมอเก่งกระดูกและข้อ #สังคมผู้สูงอายุ #ล้มแล้วหัก


References:

  1. Thai Osteoporosis Foundation (TOPF). Clinical Practice Guideline for Diagnosis and Management of Osteoporosis 2021.
  2. Camacho PM, et al. American Association of Clinical Endocrinologists/American College of Endocrinology Clinical Practice Guidelines for the Diagnosis and Treatment of Postmenopausal Osteoporosis - 2020 Update. Endocr Pract. 2020;26(Suppl 1):1-46.
  3. Eastell R, et al. Pharmacological Management of Osteoporosis in Postmenopausal Women: An Endocrine Society Clinical Practice Guideline. J Clin Endocrinol Metab. 2019;104(5):1595-1622.
  4. Kanis JA, et al. European guidance for the diagnosis and management of osteoporosis in postmenopausal women. Osteoporos Int. 2019;30(1):3-44.
  5. Office of the Surgeon General (US). Bone Health and Osteoporosis: A Report of the Surgeon General. Rockville (MD): Office of the Surgeon General (US); 2004. Chapter 9, The Consequences of Bone Disease.

วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2568

การเลือกยา "สร้างกระดูก" หรือ "ยับยั้งการทำลายกระดูก" ให้เหมาะกับคุณ

 



การเลือกยา "สร้างกระดูก" หรือ "ยับยั้งการทำลายกระดูก" ให้เหมาะกับคุณ

"ทำไมแม่ล้มเบา ๆ ถึงกระดูกหักเลยคะหมอ?" ลูกสาววัยกลางคนถามหมอด้วยสีหน้ากังวล ขณะเข็นรถเข็นที่มีคุณยายวัย 70 ปีกว่า ๆ นั่งอยู่ ท่านมีเฝือกอ่อนดามที่ข้อมือขวา

คุณยายเล่าให้หมอฟังด้วยเสียงเบา ๆ ว่า "ยายแค่สะดุดพรมในห้องรับแขก เอามือยันพื้นนิดเดียวเองนะหมอ เจ็บจี๊ดขึ้นมาเลย ไม่นึกว่าจะหัก"

นี่คือเรื่องราวที่หมอเจอเป็นประจำครับ หลายคนเข้าใจว่ากระดูกแข็งแรงเหมือนท่อนไม้ที่แห้งแล้ว คงสภาพเดิมตลอดเวลา แต่ความจริงแล้ว กระดูกของเราเป็น "สิ่งมีชีวิต" ที่มีการก่อสร้างและรื้อถอนอยู่ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง

ในร่างกายเรามีทีมงานอยู่ 2 ทีมครับ

  1. ทีมก่อสร้าง (Osteoblast): คอยถมปูน สร้างเนื้อกระดูกใหม่
  2. ทีมรื้อถอน (Osteoclast): คอยสกัดกระดูกเก่าที่เสื่อมสภาพออกไป

ในวัยหนุ่มสาว ทีมก่อสร้างทำงานเร็วกว่า แต่พออายุมากขึ้น โดยเฉพาะหลังหมดประจำเดือน ทีมรื้อถอนจะขยันผิดปกติ ทำลายเร็วกว่าสร้าง จนเนื้อกระดูกบางลง เป็นรูพรุนเหมือนฟองน้ำ และเปราะหักง่ายในที่สุด

วันนี้หมอจะพามาเจาะลึกเรื่อง "อาวุธ" ที่เราใช้ต่อสู้กับภาวะนี้ นั่นคือยารักษาโรคกระดูกพรุน ซึ่งแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือกลุ่ม "ยับยั้งการรื้อถอน" และกลุ่ม "เร่งการก่อสร้าง" เราจะเลือกใช้อย่างไร มาดูกันครับ

ยารักษาโรคกระดูกพรุน: ไม่ใช่แค่แคลเซียม

หลายท่านเข้าใจผิดว่า กินแคลเซียมกับวิตามินดีก็รักษาโรคกระดูกพรุนได้ ความจริงคือ แคลเซียมเป็นเหมือน "อิฐปูน" ส่วนวิตามินดีเป็น "รถขนปูน" ครับ

แต่ถ้า "ทีมช่าง" ในร่างกายไม่ยอมทำงาน หรือทีมรื้อถอนทำงานหนักเกินไป มีอิฐปูนมากแค่ไหน กระดูกก็ไม่แข็งแรงขึ้นครับ เราจึงจำเป็นต้องใช้ยาออกฤทธิ์เฉพาะทาง

กลุ่มที่ 1: ยายับยั้งการทำลายกระดูก (Antiresorptive Agents)"สั่งทีมรื้อถอน ให้หยุดทุบตึก"

นี่คือยากลุ่มมาตรฐานที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดครับ หลักการทำงานคือ ยาจะไปล็อกตัวเซลล์สลายกระดูก ทำให้หยุดการกัดกินเนื้อกระดูก ช่วย "ชะลอ" ความเสื่อม และรักษาความหนาแน่นของกระดูกที่มีอยู่ไว้ไม่ให้ลดลงไปมากกว่าเดิม

ยาในกลุ่มนี้ได้แก่:

  • ยากลุ่มบิสฟอสโฟเนต (Bisphosphonates): มีทั้งแบบกิน (สัปดาห์ละครั้ง หรือเดือนละครั้ง) และแบบฉีดเข้าเส้นเลือด (ปีละครั้ง) เป็นยาพื้นฐานที่ใช้กันทั่วโลก
  • ยาฉีดเข้าชั้นไขมัน (Denosumab): ฉีดทุก 6 เดือน ออกฤทธิ์ยับยั้งการเติบโตของเซลล์สลายกระดูกได้ดีมาก

ข้อดี:

  • มีข้อมูลการศึกษายาวนาน มั่นใจได้ในความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
  • ราคามีความหลากหลาย เข้าถึงได้ง่าย
  • ช่วยลดความเสี่ยงกระดูกสันหลังและกระดูกสะโพกหักได้ดี

ข้อควรระวัง:

  • แบบกิน อาจระคายเคืองทางเดินอาหาร ต้องกินตอนท้องว่างและนั่งตัวตรงอย่างน้อย 30-60 นาที
  • ผลข้างเคียงที่พบได้น้อยมากแต่ต้องระวัง คือ ภาวะกระดูกขากรรไกรตาย (มักสัมพันธ์กับการถอนฟันหรือผ่าตัดช่องปากใหญ่ๆ) หรือกระดูกต้นขาหักในรูปแบบแปลกๆ ดังนั้นหากปวดฟันหรือปวดต้นขาต้องแจ้งแพทย์ทันที

กลุ่มที่ 2: ยากระตุ้นการสร้างกระดูก (Bone Formation Agents)"จ้างทีมก่อสร้างชุดพิเศษ ให้เร่งเทปูน"

ยากลุ่มนี้เปรียบเสมือนการจ้างผู้รับเหมาเกรดพรีเมียมมาเร่งงานก่อสร้างครับ ยาจะออกฤทธิ์กระตุ้นให้เซลล์สร้างกระดูกทำงานอย่างหนัก ทำให้มวลกระดูกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และโครงสร้างภายในกระดูกเชื่อมต่อกันดีขึ้น

ยาในกลุ่มนี้ได้แก่:

  • เทอริพาราไทด์ (Teriparatide): เป็นยาฉีดเข้าชั้นไขมันทุกวัน (ผู้ป่วยฉีดเองที่บ้านได้ เหมือนฉีดอินซูลินเบาหวาน) เลียนแบบฮอร์โมนพาราไทรอยด์
  • โรโมโซซูแมบ (Romosozumab): ยาตัวใหม่ที่เป็นแบบ "ลูกผสม" คือกระตุ้นการสร้างกระดูกด้วย และช่วยยับยั้งการสลายกระดูกไปพร้อมกัน (Dual Action) ฉีดเดือนละครั้ง

ข้อดี:

  • เพิ่มมวลกระดูกได้ "เร็วกว่า" และ "มากกว่า" กลุ่มแรกชัดเจน
  • เหมาะมากสำหรับคนที่กระดูกบางขั้นรุนแรง หรือคนที่กระดูกหักไปแล้วและต้องการให้เชื่อมติดเร็วขึ้น
  • ลดความเสี่ยงกระดูกหักซ้ำได้ดีเยี่ยม

ข้อควรระวัง:

  • ราคาสูงกว่ากลุ่มแรกค่อนข้างมาก
  • ต้องฉีดต่อเนื่อง ขาดไม่ได้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์สูงสุด

แนวทางการเลือกใช้ยา: แบบไหนเหมาะกับใคร?

การตัดสินใจเลือกยา ไม่ใช่การเสี่ยงดวงครับ แต่แพทย์จะพิจารณาจากปัจจัยเหล่านี้:

  1. ความรุนแรงของโรค:
    • ถ้ากระดูกพรุนปานกลาง ถึง มาก แต่ยังไม่เคยกระดูกหัก: มักเริ่มด้วย "ยายับยั้งการทำลาย" เพราะเพียงพอที่จะคุมอาการได้
    • ถ้ากระดูกพรุนรุนแรงมาก (ค่า T-score ต่ำกว่า -3.0) หรือ เคยกระดูกหักมาแล้วหลายครั้ง หรือ หักขณะที่กินยาเดิมอยู่: แพทย์อาจแนะนำ "ยากระตุ้นการสร้าง" เพื่อกู้คืนความแข็งแรงให้เร็วที่สุด แล้วค่อยเปลี่ยนกลับมาใช้ยายับยั้งเพื่อคงสภาพต่อ
  2. ความสะดวกของผู้ป่วย:
    • บางท่านไม่สะดวกรัประทานยาแล้วต้องนั่งตัวตรง ก็อาจเลี่ยงยากินมาเป็นยาฉีด
    • บางท่านไม่กล้าฉีดยาเองทุกวัน ก็อาจจะไม่เหมาะกับยากระตุ้นการสร้างบางตัว
  3. โรคประจำตัว:
    • ผู้ป่วยโรคไตเสื่อมระยะรุนแรง อาจมีข้อจำกัดในการใช้ยาบางกลุ่ม ซึ่งต้องปรับขนาดยาหรือเลือกชนิดยาที่ขับออกทางอื่นที่ไม่ใช่ไต

การตรวจวินิจฉัยและการติดตามผล

การจะรู้ว่าต้องใช้ยาตัวไหน เราต้องตรวจวัดความหนาแน่นมวลกระดูกด้วยเครื่อง DXA Scan (Dual-energy X-ray Absorptiometry) เท่านั้นครับ การเอกซเรย์ธรรมดาอาจมองไม่เห็นความพรุนจนกว่ากระดูกจะบางไปแล้วกว่า 30%

หลังจากเริ่มรักษา แพทย์จะนัดตรวจ DXA ซ้ำทุก 1-2 ปี เพื่อดูแนวโน้มว่ากราฟกระดูกของเรา "เชิดหัวขึ้น" หรืออย่างน้อย "ประคองตัว" ไม่ตกลงไปกว่าเดิมหรือไม่

หากใช้ยาแล้วค่ามวลกระดูกยังลดลง หรือยังมีกระดูกหักเพิ่ม แพทย์จะพิจารณา "เปลี่ยนแผนการเล่น" อาจเปลี่ยนจากยากินเป็นยาฉีด หรือเปลี่ยนกลุ่มยาให้แรงขึ้นครับ

สรุป

โรคกระดูกพรุน รักษาได้และป้องกันกระดูกหักได้ครับ กุญแจสำคัญคือการเลือก "อาวุธ" ให้ถูกกับศัตรู

  • กลุ่มยับยั้งการทำลาย: เหมาะสำหรับผู้ป่วยส่วนใหญ่ เพื่อคงสภาพกระดูก ป้องกันการหัก
  • กลุ่มกระตุ้นการสร้าง: เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงมาก หรือกระดูกหักแล้ว ต้องการการฟื้นฟูเร่งด่วน

ไม่ว่าท่านจะได้รับยาตัวไหน สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ "วัตถุดิบ" ครับ ท่านยังคงต้องทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง รับแสงแดดอ่อนๆ เพื่อสังเคราะห์วิตามินดี และออกกำลังกายลงน้ำหนัก (Weight-bearing exercise) เช่น การเดิน เพื่อกระตุ้นให้กระดูกรับรู้แรงกระแทกและสร้างความแข็งแรง

อย่ารอให้ล้มแล้วค่อยรักษา เพราะกระดูกที่แข็งแรง คือรากฐานของชีวิตที่อิสระในวัยเกษียณครับ

บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์ สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่ ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง) ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ จังหวัดเชียงใหม่ สอบถามปัญหาโรคกระดูกและข้อ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ปวดไหล่ กระดูกพรุน ได้ครับ 📱 Line ID: @doctorkeng โทร 081-5303666

#กระดูกพรุน #ยากระดูกพรุน #รักษากระดูกพรุน #กระดูกหักในผู้สูงอายุ #มวลกระดูกบาง #หมอเก่งกระดูกและข้อ #ป้องกันกระดูกหัก #แคลเซียม #วิตามินดี #สุขภาพผู้สูงวัย


References:

  1. Camacho PM, Petak SM, Binkley N, et al. American Association of Clinical Endocrinologists/American College of Endocrinology Clinical Practice Guidelines for the Diagnosis and Treatment of Postmenopausal Osteoporosis - 2020 Update. Endocr Pract. 2020;26(Suppl 1):1-46.
  2. Eastell R, Rosen CJ, Black DM, et al. Pharmacological Management of Osteoporosis in Postmenopausal Women: An Endocrine Society* Clinical Practice Guideline. J Clin Endocrinol Metab. 2019;104(5):1595-1622.
  3. Kanis JA, Cooper C, Rizzoli R, Reginster JY. European guidance for the diagnosis and management of osteoporosis in postmenopausal women. Osteoporos Int. 2019;30(1):3-44.
  4. Leereunphan T. Osteoporosis Management in Clinical Practice. Chiang Mai Medical Journal. 2023;62(3):145-155.
  5. Thai Osteoporosis Foundation (TOPF). Clinical Practice Guideline for Management of Osteoporosis 2021. Bangkok: TOPF; 2021.

วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2568

แคลเซียมคาร์บอเนต vs แคลเซียม L-Threonate แบบไหนดีกว่า? จ่ายแพงกว่าแล้วคุ้มไหม?

 

แคลเซียมคาร์บอเนต vs แคลเซียม L-Threonate แบบไหนดีกว่า? จ่ายแพงกว่าแล้วคุ้มไหม?

"คุณหมอคะ เห็นโฆษณาแคลเซียมกระปุกละเป็นพัน เขาบอกว่าเป็นแคลเซียมข้าวโพด ดูดซึมได้ 95% ดีกว่าแคลเซียมเม็ดสีขาวๆ ที่โรงพยาบาลแจก ตกลงมันจริงไหมคะ? แล้วเราจำเป็นต้องกินเสริมไหม?"

นี่คือคำถามยอดฮิตที่หมอเจอแทบทุกวันในคลินิกครับ โดยเฉพาะในยุคที่คนรักสุขภาพหันมาใส่ใจเรื่องกระดูกพรุนกันมากขึ้น พอเดินเข้าไปในร้านขายยา ก็เจอแคลเซียมเรียงรายเต็มชั้นวาง ทั้งแบบเม็ดแป้ง แบบน้ำ แบบผง ราคาตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพัน จนเลือกไม่ถูก วันนี้หมอเก่งจะพาไปเจาะลึกแบบ "ผ่าเม็ดยา" ให้ดูกันชัดๆ ครับว่า ความเชื่อเรื่องการดูดซึม ราคา และความคุ้มค่า แบบไหนที่เหมาะกับคุณที่สุด อ่านจบแล้วคุณจะเดินเข้าร้านขายยาได้อย่างมั่นใจ และประหยัดเงินในกระเป๋าได้เยอะเลยครับ

เรื่องเล่าจาก "คุณพี่รัตนา" กับกระปุกยาวิเศษ คุณพี่รัตนา (นามสมมติ) อายุ 55 ปี มาปรึกษาหมอเรื่องปวดเข่า แกหอบถุงยาใบใหญ่มาด้วย ในนั้นมีกระปุกแคลเซียมราคาแพงยี่ห้อดัง แกบอกว่า "ลูกสาวซื้อให้ค่ะ เขาบอกว่าเป็นแคลเซียม L-Threonate ดูดซึมดีมาก ไม่ท้องผูก ไม่ตกค้าง แต่เดือนนึงต้องกินหลายกระปุก หมดเงินไปหลายพันเลยค่ะหมอ ถ้าหมอว่าดี ป้าก็จะกัดฟันกินต่อ" หมอหยิบกระปุกมาดูฉลากข้างขวด แล้วคำนวณให้ป้าฟัง... ผลปรากฏว่า ป้ากินแคลเซียมตัวนี้วันละ 2 เม็ด แต่ได้เนื้อแคลเซียมจริงๆ น้อยกว่ากินนมกล่องเดียวเสียอีก! ทำไมถึงเป็นแบบนั้น? เดี๋ยวหมอเล่าให้ฟังครับ

เราจำเป็นต้องกิน "แคลเซียมเสริม" ทุกคนไหม? ก่อนจะไปเถียงกันเรื่องชนิดของยา เราต้องตอบคำถามนี้ให้ได้ก่อนครับ ร่างกายคนเราต้องการแคลเซียมประมาณ 800 - 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน (ในผู้สูงอายุอาจต้องการถึง 1,200 มก.) • ถ้าคุณกิน: นม 1-2 แก้ว + ปลาตัวเล็กตัวน้อย + ผักใบเขียว + เต้าหู้ ได้เป็นประจำ คุณอาจ "ไม่จำเป็น" ต้องเสียเงินซื้อยาเม็ดเลยครับ เพราะแคลเซียมจากอาหารคือสิ่งที่ดีที่สุด

ใครที่จำเป็นต้องกินเสริม: 1. ผู้สูงอายุ (ลำไส้ดูดซึมไม่ดี) 2. หญิงวัยหมดประจำเดือน (กระดูกบางลงเร็ว) 3. คนที่แพ้นมวัว หรือทานอาหารได้น้อย 4. คนที่มีภาวะกระดูกบาง/พรุน (ตามแพทย์สั่ง)

ศึกวันดวลแคลเซียม: Carbonate vs L-Threonate ในท้องตลาดหลักๆ เราจะเจอผู้ท้าชิงอยู่ 2 รุ่นครับ คือรุ่นเก๋า (Carbonate) กับรุ่นใหม่ไฮโซ (L-Threonate) มาดูข้อดีข้อเสียกันแบบหมัดต่อหมัดครับ

1. แคลเซียม คาร์บอเนต (Calcium Carbonate) เปรียบเหมือน: "รถบรรทุกสิบล้อ รุ่นประหยัด"หน้าตา: เม็ดแป้งสีขาว เม็ดใหญ่ มักแจกตามโรงพยาบาล หรือร้านยาขายราคาหลักร้อย • ความเข้มข้น (Elemental Calcium): สูงมาก (40%) หมายความว่า ใน 1 เม็ดหนัก 1,000 มก. จะมีเนื้อแคลเซียมจริงๆ ถึง 400 มก. กินวันละ 1-2 เม็ดก็เพียงพอแล้ว • การดูดซึม: ต้องอาศัย "กรดในกระเพาะ" ช่วยละลาย ดังนั้น "ต้องกินหลังอาหารทันที"ข้อเสีย: อาจทำให้ท้องอืด แน่นท้อง หรือท้องผูกในบางคน และถ้ากินตอนท้องว่างจะดูดซึมไม่ได้เลย • ความคุ้มค่า: ราคาถูกที่สุด ประสิทธิภาพดี (ถ้ารู้วิธีกิน)

2. แคลเซียม แอล-ทรีโอเนต (Calcium L-Threonate)หน้าตา: มักเป็นผงชง หรือเม็ดแคปซูล ราคาค่อนข้างสูง (สกัดจากข้าวโพด) • ความเข้มข้น (Elemental Calcium): น้อยมาก (ประมาณ 13%) หมายความว่า ใน 1 เม็ดหนัก 1,000 มก. จะมีเนื้อแคลเซียมจริงๆ แค่ 130 มก. เท่านั้น! • การดูดซึม: ดูดซึมได้ด้วยตัวเอง (Passive transport) ดูดซึมได้สูงถึง 95% ตามโฆษณาจริง และ "กินตอนไหนก็ได้" ไม่ต้องง้อกรดในกระเพาะ • ข้อเสีย: แม้จะดูดซึมดี แต่เนื้อแคลเซียมน้อยมาก หากคุณต้องการแคลเซียมวันละ 800 มก. คุณอาจต้องกินแอล-ทรีโอเนตถึง วันละ 6-7 เม็ด (ซึ่งเปลืองเงินมาก) • ข้อดี: ไม่ค่อยทำให้ท้องผูก

เพื่อให้คุณเลือกถูกว่าตัวไหนคือคู่แท้สำหรับกระดูกของคุณ ลองจินตนาการตามหมอนะครับ

ตอบคำถาม: "L-Threonate ดูดซึมดีกว่า จริงไหม?" คำตอบคือ: จริงครับ แต่...

สมมติเราเปรียบเทียบ "รถบรรทุก" (Carbonate) กับ "รถมอเตอร์ไซค์" (L-Threonate)

Carbonate: เป็นรถบรรทุก ขนแคลเซียมมาเต็มคัน (400 มก.) แต่อาจจะเข้าจอดยากหน่อย (ดูดซึมยากกว่า) เข้าจอดได้จริง 30-40% ก็ได้เนื้อแคลเซียมไปประมาณ 120-160 มก.L-Threonate: เป็นมอเตอร์ไซค์ ขนแคลเซียมมานิดเดียว (130 มก.) แต่ซิ่งเข้าจอดได้เกือบหมด (95%) ก็ได้เนื้อแคลเซียมไปประมาณ 120-125 มก.

สรุป: เมื่อหักลบกลบหนี้แล้ว ปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายได้รับต่อ 1 เม็ด (ขนาด 1000 มก. เท่ากัน) "แทบจะไม่ต่างกันเลยครับ" แต่ L-Threonate จ่ายแพงกว่าหลายเท่าตัว

แล้วเราควรเลือกแบบไหน? หมอมีหลักการเลือกง่ายๆ ให้ครับ:

  1. ทีมประหยัดและคุ้มค่า: เลือก Calcium Carbonate ครับ เพียงแค่คุณกิน "หลังอาหารทันที" และดื่มน้ำตามเยอะๆ คุณจะได้แคลเซียมเพียงพอในราคาที่สบายกระเป๋า
  2. ทีมกระเพาะบาง / ท้องผูกง่าย: เลือก Calcium L-Threonate ครับ เหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องการย่อย ทานยาหลังอาหารแล้วแน่นท้อง หรือคนที่มีงบประมาณไม่จำกัด ยอมจ่ายเพื่อแลกความสบายท้อง
  3. ทีมทางสายกลาง: อาจมองหา Calcium Citrate (แคลเซียม ซิเตรต) ซึ่งดูดซึมดีกว่า Carbonate ไม่ต้องง้อกรด แต่ราคาอยู่กลางๆ และเนื้อแคลเซียมประมาณ 21%

ข้อควรระวัง! กินแคลเซียมผิด วิธีอาจเกิดโทษ ไม่ว่าจะกินชนิดไหน ข้อควรระวังเหมือนกันครับ: • อย่ากินทีเดียวเยอะๆ: ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ทีละไม่เกิน 500 มก. ถ้าต้องกินวันละ 2 เม็ด ให้แยกมื้อ (เช้า-เย็น) ดีกว่ากินรวบเดียว • ระวังนิ่วในไต: การกินแคลเซียมเสริม แล้ว "ดื่มน้ำน้อย" อาจเพิ่มความเสี่ยงนิ่วได้ (แต่การกินแคลเซียมจากอาหารไม่เพิ่มความเสี่ยง) • ต้องมีวิตามิน D: แคลเซียมเหมือนก้อนอิฐ วิตามิน D เหมือนคนก่ออิฐ ถ้าขาดวิตามิน D กินแคลเซียมไปก็เอาไปสร้างกระดูกไม่ได้ครับ (ควรรับแดดอ่อนๆ หรือตรวจระดับวิตามิน D บ้าง) • อย่าเชื่อคำว่า "ไม่ตกค้าง": แคลเซียมทุกชนิด ถ้ากินมากเกินความจำเป็น ร่างกายต้องขับออกทางไตทั้งนั้นครับ ไม่มีชนิดไหนวิเศษจนหายวับไปเองได้

สรุป สำหรับคำถามที่ว่า "ควรกินรูปแบบใด?"

หากคุณไม่มีปัญหาเรื่องท้องอืด ท้องผูก และอยากประหยัดค่าใช้จ่าย "แคลเซียม คาร์บอเนต" คือตัวเลือกที่คุ้มค่าที่สุดครับ เพียงแค่ทานพร้อมอาหารมื้อใหญ่

แต่ถ้าคุณทานแล้วท้องผูกมาก หรือมีงบประมาณเพียงพอ และต้องการความสะดวกในการกิน (กินตอนท้องว่างได้) "แคลเซียม แอล-ทรีโอเนต" ก็เป็นทางเลือกที่ดี แต่ต้องเช็คปริมาณการกินให้ถึงเป้าหมายด้วยนะครับ (อาจจะต้องกินหลายเม็ดหน่อย)

สุดท้าย อย่าลืมว่า "แคลเซียมเม็ด เป็นแค่ตัวเสริม" อาหารจานหลักของคุณคือ นม ปลา ผัก และการออกกำลังกาย นั่นคือรากฐานของกระดูกที่แข็งแรงอย่างยั่งยืนครับ

บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์ สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่ ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง) ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ สอบถามปัญหาโรคกระดูกและข้อ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ปวดไหล่ กระดูกพรุน ได้ครับ 📱 Line ID: @doctorkeng #แคลเซียม #Calcium #กระดูกพรุน #แคลเซียมคาร์บอเนต #แคลเซียมแอลทรีโอเนต #อาหารเสริมกระดูก #หมอเก่งกระดูกและข้อ #ผู้สูงอายุ #วิตามินบำรุงกระดูก #สุขภาพผู้หญิง References:

  1. Balk EM, Adam GP, Langberg VN, et al. Global dietary calcium intake among adults: a systematic review. Osteoporos Int. 2017;28(12):3315-3324.
  2. Straub DA. Calcium supplementation in clinical practice: a review of forms, doses, and indications. Nutr Clin Pract. 2007;22(3):286-296.
  3. Wang H, Hu P, Jiang J. Pharmacokinetics and safety of calcium L-threonate in healthy volunteers after single and multiple oral administrations. Acta Pharmacol Sin. 2011;32(12):1555-1560. (ศึกษาเรื่องการดูดซึมของ L-threonate)
  4. Weaver CM, et al. Calcium plus vitamin D supplementation and risk of fractures: an updated meta-analysis from the National Osteoporosis Foundation. Osteoporos Int. 2016;27(1):367-376.
  5. Li K, Wang XF, Li DY, et al. The good, the bad, and the ugly of calcium supplementation: a review of calcium intake on human health. Clin Interv Aging. 2018;13:2443-2452.

อายุ 69 เป็นกระดูกพรุน... กินยาอย่างเดียวพอไหม?

 



อายุ 69 เป็นกระดูกพรุน... กินยาอย่างเดียวพอไหม?

ดูแลตัวเองดี ออกกำลังกายประจำ แต่ T-score -2.6! ทำไมกระดูกยังพรุน? และต้องปรับตัวอย่างไรในวัย 69 ปี

"หมอคะ ป้าก็กินคลีนนะ เนื้อสัตว์ไม่ค่อยแตะ เน้นถั่วธัญพืช ออกกำลังกายก็ทำเกือบทุกวัน ทำไมผลตรวจกระดูกมันออกมาแย่แบบนี้ล่ะคะ T-score -2.6 นี่กระดูกป้าจะหักเลยไหม?"

นี่คือความในใจของคนไข้หญิงไทยวัย 69 ปี ท่านหนึ่งที่ดูแลตัวเองดีมาตลอด แต่ผลตรวจมวลกระดูกกลับสวนทางกับความรู้สึก ทำให้เกิดความกังวลใจและสับสน วันนี้หมอเก่งจะมาวิเคราะห์เคสนี้ให้ฟังกันครับ เพราะเชื่อว่ามี "สายสุขภาพ" หลายท่านกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน

เคสนี้มีความน่าสนใจมากครับ เพราะสะท้อนให้เห็นว่า "การกินดี" กับ "การกินถูกหลักสร้างกระดูก" อาจจะไม่ใช่เรื่องเดียวกันเสมอไป มาดูกันครับว่าเราต้องปรับจูนอะไรบ้าง เพื่อกู้คืนความแข็งแรงให้กระดูกของคุณป้า

1. เข้าใจผลเลือด: T-score -2.6 คืออะไร?

ค่า T-score คือค่าเปรียบเทียบความหนาแน่นกระดูกของเรากับคนหนุ่มสาวครับ

  • ค่าปกติ: มากกว่า -1.0
  • กระดูกบาง (Osteopenia): ระหว่าง -1.0 ถึง -2.5
  • กระดูกพรุน (Osteoporosis): ต่ำกว่า -2.5

ของคุณป้าอยู่ที่ -2.6 แปลว่า "เข้าเกณฑ์กระดูกพรุนแล้ว" ครับ (เป็นระยะเริ่มต้นของโซนสีแดง) ซึ่งถือเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่า โครงสร้างภายในกระดูกเริ่มเปราะบางเหมือนฟองน้ำที่มีรูพรุนใหญ่ขึ้น เสี่ยงต่อการหักได้ง่ายหากหกล้ม

2. FRAX Tool: จิ๊กซอว์ที่หายไป

คุณป้าบอกว่า "ยังไม่ได้วัด FRAX" หมอแนะนำว่า "จำเป็นต้องทำครับ"

FRAX Score (Fracture Risk Assessment Tool) คือเครื่องมือประเมินความเสี่ยงว่า "ในอีก 10 ปีข้างหน้า คุณมีโอกาสกระดูกหักกี่เปอร์เซ็นต์"

  • การรู้ค่า T-score บอกแค่สภาพปัจจุบัน
  • การรู้ค่า FRAX ช่วยช่วยให้หมอตัดสินใจได้แม่นยำขึ้นว่า เมื่อไหร่ที่จำเป็นต้องให้ยาในการรักษากระดูกพรุน เช่นยาทานที่ทานอยู่ ซึ่งเป้นยากลุ่มยับยั้งการทำลายกระดูก

3. เจาะลึกเรื่องอาหาร: "กินถั่วแทนเนื้อ" ดีจริงไหมสำหรับกระดูก?

จุดนี้สำคัญมากครับ! คุณป้าทานเนื้อสัตว์น้อยมาก เน้นถั่วและธัญพืช ซึ่งดีต่อหัวใจ แต่สำหรับกระดูก อาจมี "หลุมพราง" ซ่อนอยู่ 2 ข้อครับ:

  • กับดักที่ 1: โปรตีนไม่พอ = กระดูกไม่สร้าง หลายคนเข้าใจผิดคิดว่ากระดูกต้องการแค่แคลเซียม แต่ความจริงแล้ว "แกนกลางของกระดูกคือโปรตีน (คอลลาเจน)" ครับ ถ้าแคลเซียมคือปูน โปรตีนก็คือเหล็กเส้น
    • ผู้สูงอายุต้องการโปรตีนสูงกว่าคนหนุ่มสาว (แนะนำ 1.0-1.2 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กก.) เพื่อรักษามวลกระดูกและกล้ามเนื้อ
    • การกินแต่ถั่ว บางครั้งอาจได้รับกรดอะมิโนไม่ครบถ้วน หรือปริมาณโปรตีนรวมต่อวันไม่ถึงเป้า ทำให้โครงสร้างกระดูกไม่แข็งแรง
  • กับดักที่ 2: สารต้านการดูดซึม (Phytate) ในถั่วและธัญพืชพืชเปลือกแข็ง มีสารที่ชื่อว่า "ไฟเตท" (Phytate) สูงมาก ซึ่งเจ้าตัวนี้มีฤทธิ์ไป "ขัดขวางการดูดซึมแคลเซียม" ครับ กินแคลเซียมเข้าไป 100 อาจถูกดูดซึมได้น้อยลงเพราะไฟเตทไปจับไว้หมด

✅ สิ่งที่ต้องปรับ:

  • เพิ่มไข่ขาว: หากไม่ทานเนื้อสัตว์ใหญ่ ให้ทานไข่ต้ม (เน้นไข่ขาว) วันละ 2-3 ฟอง หรือเต้าหู้ขาวแข็ง เพื่อเสริมโปรตีนคุณภาพดี
  • โปรตีนพืชสกัด: อาจพิจารณา Plant-based protein isolate เสริม เพื่อให้ได้โปรตีนเพียวๆ โดยไม่มีไฟเตท
  • แยกมื้อยา: อย่าทานแคลเซียมพร้อมกับมื้อถั่วหนักๆ ให้ทานตอนท้องว่างหรือมื้อเบาๆ แทน

4. ยา Alendronate 70 mg: กินถูกวิธีหรือเปล่า?

คุณป้าได้รับยาเม็ด Alendronate 70 mg (กินสัปดาห์ละ 1 ครั้ง) ซึ่งเป็นยามาตรฐานที่ดีครับ แต่ยานี้ "ดูดซึมยากมาก"

  • ต้องกินตอนท้องว่างสนิท: ตื่นนอนมา กินทันทีกับน้ำเปล่า 1 แก้วเต็ม
  • ห้ามนอนลง: ต้องนั่งตัวตรงหรือเดินไปมาอย่างน้อย 30 นาที
  • ห้ามกินอย่างอื่นตาม: ต้องรออย่างน้อย 30-60 นาที ก่อนจะกินกาแฟ หรืออาหารเช้า

5. การออกกำลังกาย: 3-4 วัน พอไหม?

ความถี่ 3-4 วันถือว่าดีเยี่ยมครับ แต่ต้องดู "ชนิด" ของกีฬาด้วย

  • ถ้าแค่เดินแกว่งแขนเบาๆ หรือปั่นจักรยาน อาจจะ "ไม่พอ" สำหรับกระตุ้นกระดูกครับ
  • กระดูกจะแข็งแรงขึ้นเมื่อมี "แรงกด" (Weight Bearing) และ "แรงดึง" (Resistance)

✅ สิ่งที่ต้องปรับ:

  • เดินเร็วสลับย่ำเท้า: ให้มีแรงกระแทกเบาๆ ที่ส้นเท้า
  • เวทเทรนนิ่ง (Weight Training): สำคัญมาก! ต้องมีการยกดัมเบลเบาๆ (0.5 - 1 กก.) หรือดึงยางยืด เพื่อให้กล้ามเนื้อดึงกระดูก กระตุ้นการสร้างเซลล์กระดูกใหม่
  • ฝึกทรงตัว (Balance): เช่น ไทเก๊ก หรือยืนขาเดียว เพื่อป้องกันการหกล้ม เพราะต่อให้กระดูกหนาขึ้น แต่ถ้าล้มแรงๆ ก็หักได้ครับ

สรุป: แผนปฏิบัติการกู้คืนกระดูก (Action Plan)

สำหรับคุณป้าวัย 69 ปี T-score -2.6 หมอแนะนำให้ปรับตามนี้ครับ:

  1. วัด FRAX: ขอให้คุณหมอเจ้าของไข้ช่วยประเมิน หรือส่งข้อมูลให้หมอก็ได้ครับ
  2. เติมโปรตีน: เพิ่มไข่ ปลา หรือเต้าหู้ ในทุกมื้อ อย่าขาดโปรตีนเด็ดขาด
  3. ระวังถั่ว: ทานถั่วได้ แต่ต้องแช่น้ำก่อนปรุงเพื่อลดไฟเตท และแยกมื้อกินกับแคลเซียม
  4. เช็คเทคนิคกินยา: ยา Alendronate ต้องเป๊ะทุกขั้นตอน
  5. เวทเทรนนิ่ง: เพิ่มท่าบริหารกล้ามเนื้อแขน ขา และหลัง สัปดาห์ละ 2-3 วัน
  6. ตรวจวิตามินดี: เจาะเลือดดูระดับ Vitamin D ในเลือดว่าที่กินเสริมอยู่นั้น พอหรือยัง (ควรเกิน 30 ng/mL)

บทส่งท้าย T-score -2.6 ไม่ใช่จุดจบครับ แต่เป็นจุดเริ่มต้นให้เราหันมา "ประณีต" กับการใช้ชีวิตมากขึ้น ปรับอีกนิด รับรองว่ากระดูกจะแข็งแรงขึ้น และใช้ชีวิตวัย 69 ได้อย่างมีความสุขแน่นอนครับ

บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์ สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่ ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง) ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ สอบถามปัญหาโรคกระดูกและข้อ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ปวดไหล่ กระดูกพรุน ได้ครับ 📱 Line ID: @doctorkeng

#กระดูกพรุน #Tscore #กระดูกบาง #ผู้สูงอายุ #อาหารบำรุงกระดูก #Alendronate #หมอเก่งกระดูกและข้อ #FRAXscore #แคลเซียม #วิตามินดี


References:

  1. Kanis JA, et al. European guidance for the diagnosis and management of osteoporosis in postmenopausal women. Osteoporos Int. 2019;30(1):3-44.
  2. Cosman F, et al. Clinician's Guide to Prevention and Treatment of Osteoporosis. Osteoporos Int. 2014;25(10):2359-2381.
  3. Weaver CM, et al. Calcium plus vitamin D supplementation and risk of fractures: an updated meta-analysis from the National Osteoporosis Foundation. Osteoporos Int. 2016;27(1):367-376.
  4. Shams-White MM, et al. Dietary protein and bone health: a systematic review and meta-analysis from the National Osteoporosis Foundation. Am J Clin Nutr. 2017;105(6):1528-1543.
  5. Wallace TC, et al. Dried Plums, Prunes and Bone Health: A Comprehensive Review. Nutrients. 2017;9(4):401.

วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2568

กินแคลเซียมทุกวัน ทำไมกระดูกยังหัก? ไขปริศนาที่คนรักสุขภาพคาใจ และความเข้าใจผิดเรื่อง "แคลเซียม = กระดูกเหล็ก"

 



กินแคลเซียมทุกวัน ทำไมกระดูกยังหัก? ไขปริศนาที่คนรักสุขภาพคาใจ และความเข้าใจผิดเรื่อง "แคลเซียม = กระดูกเหล็ก"

วันนี้หมอมีประเด็นที่น่าสนใจมาก ๆ และเป็นคำถามที่หมอโดนถามบ่อยที่สุดคำถามหนึ่งในห้องตรวจเลยครับ เป็นเรื่องที่ทำร้ายจิตใจคนรักสุขภาพไม่น้อย

มีคุณป้าท่านหนึ่ง สมมติชื่อ "ป้าศรี" อายุ 65 ปี เป็นคนที่ดูแลตัวเองดีมากครับ ป้าศรีบอกหมอว่า "ป้ากินแคลเซียมเม็ดทุกวันมา 5 ปีแล้วนะหมอ ไม่เคยขาด นมก็ดื่ม ปลาเล็กปลาน้อยก็กิน ทำไมเมื่อวานลื่นในห้องน้ำก้นกระแทกนิดเดียว หมอบอกว่ากระดูกสะโพกหักได้ล่ะ? ไหนว่ากินแคลเซียมแล้วกระดูกจะแข็งแรงไง?"

ฟังแล้วน่าเห็นใจนะครับ อุตส่าห์มีวินัยกินยาบำรุงแทบตาย สุดท้ายก็ยังเจ็บตัว หลายท่านอาจจะกำลังสงสัยเหมือนกันว่า "ตกลงแคลเซียมมันช่วยได้จริงไหม? หรือเรากำลังเสียเงินฟรี?"

ทำไมแค่ "กินแคลเซียม" ถึงอาจจะไม่พอ และอะไรคือ "จิ๊กซอว์ที่หายไป" ในการสร้างกระดูกให้แข็งแกร่งครับ

ทำความเข้าใจใหม่: แคลเซียม คือ "อิฐ" แต่บ้านจะแข็งแรงต้องมี "ปูน" และ "ช่างก่อสร้าง"

หมออยากให้จินตนาการว่า กระดูก ของเราเปรียบเสมือน กำแพงอิฐ ครับ แน่นอนว่า "แคลเซียม" คือ ก้อนอิฐ ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักที่สำคัญมาก ถ้าไม่มีอิฐ ก็สร้างกำแพงไม่ได้

แต่... ลองนึกภาพดูนะครับ ถ้าเราเอาก้อนอิฐมากองรวม ๆ กันเฉย ๆ โดยไม่มีปูนซีเมนต์เชื่อม แล้วไม่มีช่างมาก่อกำแพง พอเราเดินไปชนเบา ๆ กำแพงอิฐนั้นก็พังครืนลงมาใช่ไหมครับ?

ร่างกายก็เช่นกันครับ:

  1. แคลเซียม (อิฐ): คือวัตถุดิบ
  2. วิตามินดี (ปูนซีเมนต์): ตัวช่วยดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้เข้าสู่กระแสเลือด และนำไปแปะที่กระดูก ถ้าขาดวิตามินดี กินแคลเซียมไปเท่าไหร่ ก็ขับถ่ายทิ้งหมดครับ
  3. การออกกำลังกาย/การลงน้ำหนัก (ช่างก่อสร้าง): แรงกระแทกจากการเดินหรือวิ่ง จะเป็นตัวส่งสัญญาณบอกกระดูกว่า "เฮ้ย! เจ้าของใช้งานหนักนะ ต้องรีบเอาแคลเซียมมาซ่อมแซมให้หนาขึ้นเดี๋ยวนี้"

ดังนั้น คำตอบแรกของป้าศรีคือ "ป้าอาจจะมีแค่อิฐ (แคลเซียม) แต่ขาดปูน (วิตามินดี) และขาดช่าง (การออกกำลังกาย)" ทำให้กระดูกที่สร้างขึ้นมา ไม่แน่นหนาพอครับ

กับดักที่ 2: "โจรขโมยแคลเซียม" ที่เรากินเข้าไปทุกวัน

หลายคนเติมแคลเซียมเข้าไปเยอะ แต่หารู้ไม่ว่า พฤติกรรมบางอย่างของเรา กำลังทำหน้าที่เป็น "รถบรรทุก" ขนแคลเซียมออกจากกระดูกไปทิ้งทางปัสสาวะครับ

  1. กินเค็ม (โซเดียม): ศัตรูตัวฉกาจที่สุด! ร่างกายเรามีกลไกแปลกอยู่อย่างหนึ่งครับ เวลาไตขับโซเดียม (ความเค็ม) ออกจากร่างกาย มันจะ "ลากเอาแคลเซียม" ติดร่างแหออกไปด้วย ยิ่งกินเค็ม กระดูกยิ่งบาง
  2. กาแฟ/คาเฟอีน: การดื่มกาแฟเกินวันละ 2-3 แก้ว จะขัดขวางการดูดซึมแคลเซียม
  3. น้ำอัดลม: มีฟอสฟอรัสสูง ซึ่งจะไปดึงแคลเซียมออกจากกระดูก
  4. ความเครียดและการพักผ่อนน้อย: ทำให้ฮอร์โมนในร่างกายรวน การซ่อมแซมกระดูกลดลง

กับดักที่ 3: กระดูกหนา แต่ "เปราะ" (คุณภาพกระดูกไม่ดี)

ข้อนี้ลึกซึ้งหน่อยครับ ในทางการแพทย์เราพบว่า "ความหนาแน่นของกระดูก" (Bone Density) ที่เราตรวจกัน กับ "คุณภาพของกระดูก" (Bone Quality) อาจจะไม่ไปทางเดียวกันเสมอไป

เปรียบเทียบง่าย ๆ เหมือน "ไม้" ครับ

  • ไม้สด: มีความเหนียว ยืดหยุ่น ดัดงอได้นิดหน่อยไม่หัก (กระดูกเด็ก/คนหนุ่มสาว)
  • ไม้ผุ/ไม้แห้งกรอบ: ดูภายนอกอาจจะท่อนใหญ่ แข็งโป๊ก แต่พอโดนกระแทกปุ๊บ "เปรี้ยง!" หักทันที (กระดูกผู้สูงอายุ)

บางคนกินแคลเซียมจนกระดูกดูขาวโพลนในฟิล์มเอกซเรย์ แต่โครงสร้างภายใน (Micro-architecture) มันกรอบเหมือนไม้แห้งครับ ซึ่งสาเหตุอาจมาจากอายุที่มากขึ้น ภาวะหมดประจำเดือน หรือโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น เบาหวาน โรคไต หรือการกินยาชุด ยาสเตียรอยด์มานาน ๆ

ทำไมกินแคลเซียมแล้วยังหัก? เพราะ "การล้ม" คือตัวแปรสำคัญ

ต่อให้เราบำรุงกระดูกดีแค่ไหน แต่ถ้าเรา "ล้มแรง" หรือ "ล้มผิดท่า" กระดูกคนเราก็หักได้ครับ ในผู้สูงอายุ ปัญหาหลักอาจไม่ได้อยู่ที่กระดูกไม่แข็งอย่างเดียว แต่อยู่ที่:

  • กล้ามเนื้อไม่แข็งแรง: ทรงตัวไม่อยู่
  • สายตาไม่ดี: มองไม่เห็นพื้นต่างระดับ
  • ผลข้างเคียงยา: กินยาความดัน ยานอนหลับ แล้วมึนงง

ดังนั้น การป้องกันกระดูกหักที่ดีที่สุด ไม่ใช่แค่การกินแคลเซียม แต่คือการ "ป้องกันการล้ม" (จัดบ้านให้โล่ง ติดราวจับ ฝึกเดิน ฝึกทรงตัว)

สรุป: กินแคลเซียมยังไง ให้ได้ผลจริง?

หมอไม่ได้บอกว่าแคลเซียมไม่สำคัญนะครับ มันยังจำเป็นมาก ๆ แต่ต้องกินให้ "ฉลาด" ครับ

  1. กินแคลเซียมธรรมชาติเป็นหลัก: นม โยเกิร์ต ปลาเล็กปลาน้อย ผักใบเขียว เต้าหู้ ร่างกายดูดซึมได้ดีกว่ายาเม็ด
  2. ถ้ากินยาเม็ด ต้องเสริมวิตามินดี: ตากแดดอ่อน ๆ ตอนเช้า หรือทานวิตามินดีเสริมตามแพทย์สั่ง
  3. ขยับร่างกาย: เดินแกว่งแขน เดินเร็ว รำไทเก็ก ให้กระดูกได้รับแรงกระตุ้น
  4. ลดเค็ม ลดกาแฟ: อุดรูรั่วไม่ให้แคลเซียมไหลออก
  5. อย่ารอให้แก่: สะสมแคลเซียมตั้งแต่วัยหนุ่มสาว คือ "ทุนสำรอง" ที่ดีที่สุด เพราะพออายุเยอะ ร่างกายจะเน้นใช้ของเก่ามากกว่าสร้างของใหม่ครับ

บทส่งท้ายจากใจหมอ

การดูแลกระดูก เหมือนการปลูกต้นไม้ครับ เราจะใส่แต่ปุ๋ย (แคลเซียม) อย่างเดียวไม่ได้ ต้องรดน้ำ (วิตามินดี) พรวนดิน (ออกกำลังกาย) และคอยไล่แมลง (ลดเค็ม/เหล้า/บุหรี่) ด้วย ต้นไม้ถึงจะแข็งแรง รากหยั่งลึก และไม่ล้มง่ายเมื่อเจอพายุครับ

ขอให้ทุกท่านมีกระดูกที่แข็งแรง ยืนเดินได้อย่างมั่นคงไปนาน ๆ นะครับ

บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์ สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่ ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง) ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ สอบถามปัญหาโรคกระดูกและข้อ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ปวดไหล่ กระดูกพรุน ได้ครับ 📱 Line ID: @doctorkeng

#กระดูกพรุน #แคลเซียม #วิตามินดี #ผู้สูงอายุ #กระดูกหัก #หมอเก่งกระดูกและข้อ #ล้มในห้องน้ำ #ดูแลสุขภาพ #กินเค็ม #กระดูกสะโพกหัก

กิน Apple Cider Vinegar (ACV) มากไป กระดูกพรุนจริงไหม? ความจริงที่คนรักสุขภาพต้องรู้ก่อนหยิบแก้วดื่ม

 



กิน Apple Cider Vinegar (ACV) มากไป กระดูกพรุนจริงไหม? ความจริงที่คนรักสุขภาพต้องรู้ก่อนหยิบแก้วดื่ม

ช่วงนี้เทรนด์รักสุขภาพมาแรงแซงทางโค้งจริง ๆ ครับ โดยเฉพาะเทรนด์การดื่ม "น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล" หรือที่เราเรียกติดปากว่า Apple Cider Vinegar (ACV) ที่เขาว่ากันว่าช่วยลดน้ำหนัก ช่วยคุมน้ำตาล ช่วยระบบย่อยอาหาร จนหลายคนซื้อมาติดบ้านไว้เป็นยาสามัญประจำตู้เย็น

แต่เมื่อวันก่อน มีเคสที่ทำให้หมอต้องรีบหยิบเรื่องนี้มาเขียนบทความครับ มีคนไข้ท่านหนึ่ง เป็นคุณพี่ผู้หญิงวัยประมาณ 45 ปี สมมติชื่อ "คุณพี่จอย" เดินเข้ามาปรึกษาหมอด้วยสีหน้ากังวลสุดขีด ไม่ได้ปวดเข่าหรือปวดหลังนะครับ แต่ยื่นมือถือให้หมดูข่าวที่แชร์กันในไลน์ "คุณหมอคะ พี่กินแอปเปิ้ลไซเดอร์ทุกวันมาเป็นปีแล้ว เพราะอยากผอม อยากหุ่นดี แต่เพื่อนส่งมาบอกว่า กินแล้วกระดูกจะพรุน กระดูกจะบาง พี่ตกใจมาก ตอนนี้พี่หยุดกินเลยค่ะ สรุปมันจริงไหมคะหมอ? พี่กินยาพิษเข้าไปหรือเปล่า?"

หมอเชื่อว่าหลายท่านที่อ่านอยู่ตอนนี้ อาจจะกำลังถือแก้ว ACV อยู่ในมือ หรือเพิ่งดิมไปเมื่อเช้า แล้วเกิดคำถามเดียวกันใช่ไหมครับ?

Apple Cider Vinegar (ACV) คืออะไร? ทำไมถึงเปรี้ยวจี๊ด?

อธิบายง่าย ๆ ครับ ACV ก็คือน้ำแอปเปิ้ลที่เอาไปหมักกับยีสต์จนเกิดเป็นแอลกอฮอล์ แล้วหมักต่อจนกลายเป็น "กรดอะซิติก" (Acetic Acid) ซึ่งเจ้ากรดตัวนี้แหละครับ ที่ทำให้มันมีรสเปรี้ยวจี๊ด มีกลิ่นฉุน และเป็นพระเอกที่ช่วยเรื่องลดระดับน้ำตาลในเลือดและช่วยระบบเผาผลาญ

แต่คำว่า "กรด" นี่แหละครับ ที่ทำให้หลายคนกลัวว่า "กินกรดเข้าไป มันจะไปกัดกระดูกเราจนพรุนไหม?"

ความจริง: กิน ACV แล้วกระดูกพรุนจริงไหม?

คำตอบคือ "มีโอกาสจริงครับ... แต่ยากมาก" (ขีดเส้นใต้คำว่า ยากมาก ตัวโต ๆ นะครับ)

มันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ "คุณกินผิดวิธี และกินในปริมาณที่มหาศาล" ครับ

ร่างกายของเราฉลาดมากครับ เรามีระบบปรับสมดุลความเป็นกรด-ด่างที่เก่งขั้นเทพ ผ่านทางไตและปอด ต่อให้เรากินของเปรี้ยว ๆ เข้าไป เลือดเราก็ไม่ได้กลายเป็นกรดง่าย ๆ ครับ

แต่... มีกรณีศึกษาในอดีตที่น่าสนใจครับ เคยมีรายงานทางการแพทย์ (ในต่างประเทศ) เกี่ยวกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ดื่ม ACV วันละ 250 มิลลิลิตร (ประมาณ 1 แก้วน้ำเต็ม ๆ) ติดต่อกันเป็นเวลา 6 ปี! ผลปรากฏว่า เธอมีภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำมาก และมีภาวะกระดูกพรุน เพราะร่างกายต้องดึงแคลเซียมจากกระดูกมาเพื่อพยายามปรับสมดุลกรดที่มากเกินพอดี และไตก็ขับแคลเซียมทิ้งไปเยอะ

สรุปจุดนี้: การดื่ม ACV ในปริมาณ "ปกติ" ไม่ทำให้กระดูกพรุนครับ แต่การดื่มแบบ "บ้าพลัง" เหมือนดื่มน้ำเปล่า นั่นแหละครับที่อันตราย

ปริมาณที่ "ปลอดภัย" และ "ได้ประโยชน์" คือเท่าไหร่?

ถ้าท่านอยากได้ประโยชน์เรื่องคุมน้ำตาล หรือช่วยย่อย โดยไม่ทำร้ายกระดูก หมอแนะนำสูตรนี้ครับ:

  • ปริมาณ: ไม่ควรเกิน 1-2 ช้อนโต๊ะ (15-30 มิลลิลิตร) ต่อวัน
  • ห้ามเด็ดขาด: ห้ามดื่มเพียว ๆ แบบกระดกใส่ปากเหมือนช็อตกาแฟ เพราะความเป็นกรดที่เข้มข้นจะกัดหลอดอาหาร กัดกระเพาะ และที่สำคัญคือ "กัดเคลือบฟัน" จนฟันสึก ฟันเสียวได้ครับ
  • วิธีที่ถูก: ต้อง "เจือจาง" ในน้ำเปล่าสะอาด 1 แก้วใหญ่ (ประมาณ 200-300 มล.) เสมอ

ครบ้างที่ต้องระวังเป็นพิเศษ (กลุ่มเสี่ยง)?

แม้คนทั่วไปจะทานได้ แต่ถ้าท่านอยู่ในกลุ่มนี้ ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนทานนะครับ:

  1. ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง: เพราะไตของท่านอาจจะขับกรดและแร่ธาตุส่วนเกินออกได้ไม่ดีเท่าคนปกติ การทานกรดเพิ่มเข้าไปอาจเป็นภาระหนักให้ไตครับ
  2. ผู้ที่มีโพแทสเซียมในเลือดต่ำ: การทาน ACV เยอะเกินไป อาจทำให้ระดับโพแทสเซียมยิ่งต่ำลง ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะได้
  3. ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร หรือกรดไหลย้อน: บางคนทานแล้วดีขึ้น แต่บางคนทานแล้ว "กำเริบ" แสบท้องมากขึ้น เพราะกรดมันไปเพิ่มแก๊ส หรือระคายเคืองแผลในกระเพาะครับ
  4. ผู้ที่ทานยาขับปัสสาวะ หรือยารักษาโรคเบาหวานบางชนิด: ACV อาจไปตีกับยา หรือเสริมฤทธิ์ยาจนน้ำตาลตกฮวบ หรือเกลือแร่รวนได้ครับ

เทคนิคการดื่มให้ได้ผล และกระดูกยังแข็งแรง

หมอมีทริคเล็ก ๆ น้อย ๆ ฝากไว้ให้คนรักสุขภาพครับ:

  1. ใช้หลอดดูด: เพื่อลดการสัมผัสของกรดกับฟัน ช่วยป้องกันฟันสึก
  2. บ้วนปากด้วยน้ำเปล่าตามทันที: ห้ามแปรงฟันทันทีหลังดื่ม (เพราะเคลือบฟันกำลังอ่อนแอจากกรด ให้รอสัก 30 นาทีค่อยแปรง)
  3. ทานอาหารที่มี "ด่าง" ร่วมด้วย: ทานผักใบเขียว ผลไม้ เพื่อช่วยร่างกายปรับสมดุล
  4. อย่าลืมแคลเซียม: ทานอาหารที่มีแคลเซียมให้เพียงพอ นม ปลาตัวเล็ก ผักใบเขียว เพื่อบำรุงกระดูกอยู่เสมอ

สรุป

Apple Cider Vinegar "ไม่ใช่ผู้ร้ายทำลายกระดูก" ถ้าเราใช้มันอย่างถูกวิธีครับ มันเป็นตัวช่วยทางสุขภาพที่ดีได้ แต่ต้องเดินทางสายกลาง

"วันละ 1-2 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำแก้วใหญ่" คือคาถาจำง่าย ๆ ครับ อย่าเชื่อคำโฆษณาที่ให้กินเยอะ ๆ เพื่อผอมเร็ว ๆ เพราะสิ่งที่ลดลงอาจจะไม่ใช่น้ำหนัก แต่เป็น "มวลกระดูก" ของเราแทน

ดูแลสุขภาพด้วยความรู้ที่ถูกต้อง แล้วเราจะแข็งแรงไปด้วยกันครับ

บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์ สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่ ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง) ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ สอบถามปัญหาโรคกระดูกและข้อ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ปวดไหล่ กระดูกพรุน ได้ครับ 📱 Line ID: @doctorkeng

#AppleCiderVinegar #ACV #กระดูกพรุน #ลดน้ำหนัก #สุขภาพผู้หญิง #หมอเก่งกระดูกและข้อ #กินเป็นลืมป่วย #โพแทสเซียมต่ำ #ดูแลตัวเอง #ความเชื่อสุขภาพ

วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2568

กินแคลเซียมมาตลอด ทำไมยังเป็นกระดูกพรุน?


 


“หมอคะ กินแคลเซียมมาตลอด ทำไมยังเป็นกระดูกพรุน?”

เคสของคุณป้านิด อายุ 60 ปี ที่มาพร้อมใบรายงานผลตรวจมวลกระดูก แล้วพูดด้วยความงงว่า:

“หนูกินแคลเซียมทุกวันเลยนะคะหมอ มาหลายปีแล้ว แต่พอตรวจดู มวลกระดูกกลับยังลดลงอยู่เลย”

และเมื่อสอบถามเพิ่มเติม ก็พบว่า “คุณแม่ของป้าเคยสะโพกล้มหักจากโรคกระดูกพรุน” และ “พี่สาวก็เคยต้องฉีดยารักษาโรคนี้”

ฟังดูแล้วเหมือนเรื่องน่ากลัว และยิ่งทำให้หลายคนสับสนว่า...

“ถ้ากินแคลเซียมแล้ว ยังไม่พอเหรอ?”

กระดูกพรุนคืออะไร? ทำไมแค่กินแคลเซียมไม่พอ

กระดูกพรุน คือ ภาวะที่กระดูกบางลง เปราะ แตกหักง่าย แม้เพียงแค่หกล้มเบา ๆ หรือจามแรง ๆ ก็อาจทำให้กระดูกหักได้

สาเหตุหลักมาจาก “สมดุลของการสร้างและสลายกระดูกเสียไป”

โดยเฉพาะในวัย 50 ปีขึ้นไป หรือหลังหมดประจำเดือน กระดูกจะเริ่ม “สลายมากกว่าสร้าง” อย่างต่อเนื่อง

และแม้ว่าแคลเซียมเป็นสารอาหารสำคัญในการสร้างกระดูก แต่กระดูกไม่แข็งแรงได้ด้วยแค่แคลเซียมอย่างเดียวครับ

กินแคลเซียมแล้ว ทำไมกระดูกยังบางลงได้?

มีหลายปัจจัยที่ทำให้แคลเซียม “ไม่พอ” หรือ “ใช้ไม่เต็มประสิทธิภาพ” เช่น:

  1. พันธุกรรม — ถ้าในครอบครัวมีประวัติกระดูกพรุน โอกาสเกิดในรุ่นลูกหลานจะสูงขึ้น (โดยเฉพาะในผู้หญิง)
  2. ขาดวิตามิน D — วิตามิน D ช่วยให้ลำไส้ดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย ถ้าขาด ต่อให้กินแคลเซียม ก็ไม่สามารถนำไปใช้ได้ดี
  3. ไม่ออกกำลังกายที่มีแรงกระแทก — เช่น เดินเร็ว แกว่งแขน กระโดดเบา ๆ หรือยกเวทเบา ๆ สิ่งเหล่านี้กระตุ้นให้ร่างกายสร้างกระดูกเพิ่ม
  4. ใช้ยาบางชนิดนานเกินไป — เช่น ยาสเตียรอยด์ หรือยาลดกรดบางกลุ่ม ทำให้มวลกระดูกลดลง
  5. ฮอร์โมนลดลงหลังหมดประจำเดือน — เอสโตรเจนมีบทบาทสำคัญในการรักษาสมดุลของกระดูก เมื่อหมดประจำเดือน จะส่งผลให้กระดูกสลายเร็วขึ้น

แล้วจะแก้ไขอย่างไรดี?

  1. ประเมินความเสี่ยงส่วนบุคคล
    • หากมีประวัติครอบครัว ควรตรวจมวลกระดูกตั้งแต่อายุ 50 ปีขึ้นไป
  2. ตรวจเลือดดูระดับวิตามิน D และแคลเซียม
    • ถ้าขาดควรได้รับการเสริมให้เหมาะสม
  3. เสริมอาหารที่ดีต่อกระดูก
    • เช่น ปลาเล็กปลาน้อย เต้าหู้ ผักใบเขียว ไข่แดง
  4. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
    • เดินเร็ววันละ 30 นาที หรือฝึกยืดเหยียดและบริหารกล้ามเนื้อ
  5. ลดพฤติกรรมที่ทำลายกระดูก
    • งดบุหรี่ แอลกอฮอล์ ลดการดื่มกาแฟเกินวันละ 2 แก้ว
  6. ปรึกษาแพทย์เรื่องการใช้ยารักษากระดูกพรุน
    • เช่น ยาชะลอการสลายกระดูก หรือยากระตุ้นการสร้างกระดูก ซึ่งจะเลือกใช้ตามความเหมาะสมของแต่ละคน

อย่ารอจนหักก่อน... แล้วค่อยมารักษา

เพราะกระดูกพรุนมักไม่แสดงอาการ กว่าจะรู้ตัวก็ต่อเมื่อกระดูกหักแล้ว

การตรวจมวลกระดูก (Bone Mineral Density) โดยเฉพาะที่สะโพกและกระดูกสันหลัง เป็นวิธีที่ดีในการรู้เท่าทันโรคนี้

หมอฝากไว้ว่า...

การดูแลกระดูกให้แข็งแรง ไม่ใช่แค่กินแคลเซียม แต่ต้องเป็นการดูแลแบบรอบด้าน

ถ้าเรารู้ว่าในครอบครัวมีคนเป็นโรคนี้... อย่ารอให้กระดูกบางลงไปอีกก่อนถึงจะลงมือดูแลครับ

"บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์

สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง)

ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ

สอบถามปัญหาโรคกระดูกและข้อ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ปวดไหล่ กระดูกพรุน ได้ครับ

📱 Line ID: @doctorkeng โทร 081-5303666

#กระดูกพรุน #ตรวจมวลกระดูก #แคลเซียม #วิตามินดี #ป้องกันกระดูกพรุน #หมอเก่ง #หมอกระดูก

อายุ 48 เมนส์เริ่มมาๆ หายๆ... ถึงเวลากู้วิกฤต "กระดูกพรุน" ก่อนที่กระดูกจะเปราะจนหัก! ความกังวลของผู้หญิงวัย 48+ ที่ไม่ได้คิดไปเอง

 





อายุ 48 เมนส์เริ่มมาๆ หายๆ... ถึงเวลากู้วิกฤต "กระดูกพรุน" ก่อนที่กระดูกจะเปราะจนหัก!

ความกังวลของผู้หญิงวัย 48+ ที่ไม่ได้คิดไปเอง

คุณผู้หญิงหลายท่านเคยรู้สึกแบบนี้ไหมครับ? ส่องกระจกแล้วรู้สึกว่าตัวเองยังสาว ยังแต่งตัวสวย ยังทำงานเก่ง เหมือนเดิมทุกอย่าง... แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ "ประจำเดือน" ที่เคยมาตรงเวลาราวกับตั้งนาฬิกาปลุก เริ่มเกเร มาบ้าง ไม่มาบ้าง หรือบางเดือนก็มาน้อยจนน่าใจหาย

.

.

พร้อมกับความรู้สึกแวบหนึ่งที่เข้ามาในหัวว่า "เอ๊ะ... หรือฉันกำลังจะเข้าวัยทอง? แล้วแม่ฉันที่กระดูกหักตอนอายุ 70 ล่ะ ฉันจะเป็นแบบนั้นไหม?"

.

.

มีคนไข้ของผมท่านหนึ่งครับ ชื่อ "คุณพี่แหม่ม" อายุ 48 ปี เป็นผู้บริหารบริษัทโฆษณา บุคลิกคล่องแคล่ว แต่วันนี้เดินเข้ามาปรึกษาผมด้วยแววตาที่กังวล

.

.

"หมอคะ เพื่อนรุ่นเดียวกันเพิ่งลื่นล้มข้อมือหัก หมอบอกว่าเป็นกระดูกพรุน ทั้งที่เขาดูแข็งแรงมาก พี่เองเมนส์เริ่มขาดๆ หายๆ มา 3 เดือนแล้ว พี่กลัวค่ะ... กลัวว่าวันนึงแค่จามแรงๆ กระดูกสันหลังพี่จะยุบ หรือเดินสะดุดแล้วสะโพกหัก พี่ต้องกินแคลเซียมวันละกี่เม็ดคะถึงจะพอ หรือพี่สายเกินไปแล้ว?"

.

.

คำถามของคุณพี่แหม่ม คือเสียงในใจของผู้หญิงวัย 40 ปลายๆ แทบทุกคนครับ วันนี้หมอเก่งจะมาเปิดคัมภีร์ดูแลกระดูกฉบับ "เตรียมรับมือวัยทอง" ให้เข้าใจกันแบบง่ายๆ และนำไปใช้ได้ทันทีครับ

.

.

ความจริงที่หมออยากบอก: "ธนาคารกระดูก" ของคุณกำลังถูกถอนเงิน!

หมออยากให้จินตนาการว่าร่างกายเรามี "ธนาคารกระดูก" ครับ

.

.

ช่วงวัยรุ่นจนถึงอายุ 30 ปี คือช่วงที่เรา "ฝากเงิน" (สะสมมวลกระดูก) เข้าไปให้เต็มที่ แต่พออายุเลย 35-40 ปี ดอกเบี้ยเริ่มไม่มี แถมเราเริ่ม "ถอนเงิน" (สลายกระดูก) ออกมาใช้ทีละนิดๆ ทุกวัน

.

.

จุดเปลี่ยนสำคัญคือ "ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen)" ครับ ฮอร์โมนเพศหญิงตัวนี้ทำหน้าที่เหมือน "ผู้จัดการธนาคาร" ที่คอยห้ามไม่ให้ใครมาถอนเงินออกไปเยอะเกินไป ช่วยรักษาเนื้อกระดูกไว้

.

.

แต่เมื่อถึงวัย 48 ปี หรือช่วงใกล้หมดประจำเดือน (Perimenopause) ผู้จัดการคนเก่งของเราเริ่มทำงานน้อยลง ฮอร์โมนลดระดับลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ "แก๊งสลายกระดูก" บุกเข้ามาขโมยเนื้อกระดูกออกไปได้ง่ายและเร็วกว่าเดิมหลายเท่า! นี่คือสาเหตุว่าทำไมผู้หญิงถึงเสี่ยงกระดูกพรุนมากกว่าผู้ชาย

.

.

ความรู้เบื้องต้น: โรคกระดูกพรุน คืออะไร? (Osteoporosis)

โรคกระดูกพรุน คือภาวะที่เนื้อในของกระดูกมีความหนาแน่นลดลง จากเดิมที่โครงสร้างภายในสานกันแน่นหนาเหมือน "ฟองน้ำเนื้อแน่น" ก็จะเริ่มบางลง รูพรุนกว้างขึ้นเหมือน "รังผึ้งที่ผุพัง" ทำให้กระดูกเปราะและแตกหักได้ง่าย แม้โดนแรงกระแทกเพียงเล็กน้อย

.

.

สาเหตุและกลไกการเกิดโรค (Pathogenesis)

โดยปกติ ร่างกายเรามีการสร้างกระดูกใหม่และสลายกระดูกเก่าตลอดเวลา (Bone Remodeling) แต่เมื่อเข้าสู่วัยทอง การขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนทำให้กระบวนการ "สลาย" เกิดขึ้นเร็วกว่าการ "สร้าง" คืน ส่งผลให้มวลกระดูกรวมลดลงอย่างต่อเนื่อง

.

.

อาการที่น่ากลัวคือ "ไม่มีอาการ"

โรคนี้ถูกขนานนามว่า "ภัยเงียบ (Silent Disease)" เพราะในระยะแรกที่คุณพี่แหม่ม หรือคุณผู้หญิงหลายท่านเริ่มมีภาวะกระดูกบาง ท่านจะไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลยครับ ไม่มีสัญญาณเตือน

.

.

เราจะรู้ตัวอีกทีก็ต่อเมื่อ...

  1. กระดูกหัก: จากอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ เช่น ลื่นในห้องน้ำ ยันมือกับพื้นแล้วข้อมือหัก หรือก้นกระแทกแล้วสะโพกหัก

  2. ตัวเตี้ยลง: ความสูงลดลงมากกว่า 3-4 เซนติเมตร

  3. หลังค่อม: เกิดจากกระดูกสันหลังยุบตัวลงมา

.

.

ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องรีบเช็ก

  • อายุและเพศ: หญิงวัยหมดประจำเดือน

  • รูปร่าง: ผอมบาง ตัวเล็ก (คนตัวเล็กมีต้นทุนกระดูกน้อยกว่าคนตัวใหญ่)

  • กรรมพันธุ์: มีประวัติพ่อแม่กระดูกสะโพกหัก

  • ยาบางชนิด: เช่น ยาสเตียรอยด์ (ใช้รักษาภูมิแพ้หรือโรคพุ่มพวง)

  • ไลฟ์สไตล์: สูบบุหรี่, ดื่มเหล้า, ดื่มกาแฟจัด, ไม่ออกกำลังกาย

.

.

การตรวจวินิจฉัย: ต้องรอให้หักก่อนไหม?

ไม่จำเป็นต้องรอครับ! ในวัย 48 ปี หากมีความเสี่ยงสูง หมอแนะนำให้ตรวจความหนาแน่นของมวลกระดูก (Bone Mineral Density - BMD) ด้วยเครื่อง DEXA Scan

.

.

การแปลผล (ค่า T-score):

  • สีเขียว (ปกติ): ค่ามากกว่า -1

  • สีเหลือง (กระดูกบาง - Osteopenia): ค่าอยู่ระหว่าง -1 ถึง -2.5 (จุดนี้คือจุดที่ต้องรีบกู้คืน!)

  • สีแดง (กระดูกพรุน - Osteoporosis): ค่าน้อยกว่า -2.5 (เสี่ยงหักสูงมาก)

.

.

ฮาวทู (How-to) ดูแลตัวเองวัย 48: ปฏิบัติการกู้คืนมวลกระดูก

สำหรับคุณพี่แหม่มและสาวๆ วัย 48+ ทุกท่าน นี่คือ "นาทีทอง" ครับ ยิ่งเริ่มเร็ว ยิ่งเซฟกระดูกได้มาก หมอขอสรุปแนวทางดังนี้:

.

.

1. อาหาร: เติมเงินเข้าธนาคารทุกวัน

  • แคลเซียม (Calcium): ร่างกายวัยนี้ต้องการวันละ 1,000 – 1,200 มิลลิกรัม ไม่จำเป็นต้องกินยาเม็ดเสมอไป เน้นจากธรรมชาติ เช่น นม, โยเกิร์ต, ปลาเล็กปลาน้อย, กุ้งฝอย, ผักใบเขียว (คะน้า, บรอกโคลี), เต้าหู้แข็ง

  • วิตามินดี (Vitamin D): ตัวช่วยดูดซึมแคลเซียม แหล่งที่ดีที่สุดคือ "แสงแดด" อ่อนๆ ตอนเช้าหรือเย็น (ประมาณ 15-20 นาที) หรือทานปลาทะเล ไข่แดง เห็ด

.

.

2. การออกกำลังกาย: กระตุ้นการสร้างกระดูก

การเดินช้อปปิ้งอย่างเดียวไม่พอนะครับ! ต้องเป็นการออกกำลังกาย 2 ประเภทนี้:

  • ลงน้ำหนัก (Weight-bearing): ให้กระดูกได้รับแรงกด เช่น เดินเร็ว, วิ่งเหยาะๆ, เต้นแอโรบิก, กระโดดเชือก (ถ้าเข่ายังดี)

  • ต้านแรง (Resistance): สร้างกล้ามเนื้อมาพยุงกระดูก เช่น ยกเวทเบาๆ, เล่นยางยืด, บอดี้เวท (Squat)

.

.

3. ปรับไลฟ์สไตล์: หยุดโจรขโมยกระดูก

  • ลดกาแฟ (ไม่ควรเกิน 2 แก้วต่อวัน เพราะคาเฟอีนขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะ)

  • ลดเค็ม (โซเดียมทำให้ไตขับแคลเซียมทิ้ง)

  • งดสูบบุหรี่และลดแอลกอฮอล์

.

.

4. การใช้ยาและฮอร์โมน (ปรึกษาแพทย์)

ในบางรายที่กระดูกบางมาก หรือมีอาการวัยทองร่วมด้วย แพทย์อาจพิจารณาเรื่อง ฮอร์โมนทดแทน (Hormone Replacement Therapy) หรือยากลุ่ม Bisphosphonates เพื่อชะลอการสลายกระดูก แต่ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ไม่ควรซื้อกินเองครับ

.

.

พยากรณ์โรค: จะกลับมาแข็งแรงเหมือนสาวๆ ได้ไหม?

โรคกระดูกพรุน "ป้องกันได้ และรักษาได้" ครับ แม้เราจะไม่สามารถทำให้กระดูกกลับมาหนาแน่นเท่าวัย 20 ได้ 100% แต่เราสามารถ "หยุดยั้ง" ไม่ให้มันพรุนไปมากกว่านี้ และลดโอกาสการเกิดกระดูกหักได้แน่นอน หากปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัด

.

.

สิ่งที่หมอเก่งอยากฝากทิ้งท้าย

ผู้หญิงวัย 48 ปี ไม่ใช่วัยที่แก่ชรา แต่เป็นวัยที่ "สวยสมบูรณ์แบบและมีวุฒิภาวะ" ครับ อย่าให้ความกังวลเรื่องกระดูกมาขัดขวางความสุข

.

.

การดูแลกระดูก ไม่ใช่การทำเพื่อวันนี้ แต่เป็นการทำเพื่อตัวเราในอีก 20 ปีข้างหน้า เพื่อให้วันที่เราอายุ 70 เราจะยังเดินไปเที่ยวกับลูกหลานได้ เดินชมนกชมไม้ได้ โดยไม่ต้องนอนติดเตียง... เริ่มสะสม "ทุนกระดูก" ตั้งแต่วันนี้ ยังไม่สายเกินไปครับ!

.

.

บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์ สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่ ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง) ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ สอบถามปัญหาโรคกระดูกและข้อ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ปวดไหล่ กระดูกพรุน ได้ครับ 📱 Line ID: @doctorkeng โทร 081-5303666

#กระดูกพรุน #วัยทอง #หมดประจำเดือน #หมอเก่งกระดูกและข้อ #แคลเซียม #ปวดหลัง #กระดูกบาง #สุขภาพผู้หญิงวัย40บวก

วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2568

กินน้ำอัดลมบ่อย... "กระดูกพรุน" จริงไหม? หรือเป็นแค่คำขู่ของผู้ใหญ่?

 

กินน้ำอัดลมบ่อย... "กระดูกพรุน" จริงไหม? หรือเป็นแค่คำขู่ของผู้ใหญ่?

"หมอครับ แม่ผมชอบบ่นว่าอย่ากินน้ำอัดลมเยอะ เดี๋ยวแก่ไปกระดูกพรุน กระดูกผุหมด... จริงๆ แล้วมันเกี่ยวกันไหมครับ? หรือแม่แค่ไม่อยากให้ผมอ้วนเฉยๆ?"

นี่คือคำถามยอดฮิตที่หมอเจอบ่อยพอกับเรื่องข้อเข่าเลยครับ

ความเชื่อที่ว่าน้ำอัดลมกัดกระดูก อาจจะฟังดูน่ากลัว (เหมือนที่เราเคยเห็นการทดลองเอากระดูกไก่ไปแช่น้ำอัดลมแล้วเปื่อย) แต่ในร่างกายคนเรา กลไกมันซับซ้อนกว่านั้นครับ

วันนี้หมอจะมาอธิบายให้ชัดเจนว่า "น้ำอัดลม" เป็นผู้ร้ายตัวจริง หรือแค่แพะรับบาปในคดีกระดูกพรุนกันแน่?

ตัวการที่น่าสงสัย: "กรดฟอสฟอริก" (Phosphoric Acid)

ในน้ำอัดลม โดยเฉพาะ "น้ำดำ" (Cola) จะมีส่วนผสมของ กรดฟอสฟอริก เพื่อแต่งรสซ่าและเปรี้ยว

ประเด็นคือ ร่างกายเราต้องการสมดุลระหว่าง "แคลเซียม" และ "ฟอสฟอรัส" ครับ

  • ถ้าเราได้รับฟอสฟอรัส (จากน้ำอัดลม) มากเกินไป... ร่างกายจะพยายามรักษาสมดุล โดยการ "ดึงแคลเซียมออกจากกระดูก" เพื่อมาจับคู่กับฟอสฟอรัสแล้วขับทิ้งออกไป
  • ผลลัพธ์: มวลกระดูกอาจจะบางลงได้ ถ้าดื่มในปริมาณที่มากเกินพอดี และต่อเนื่องเป็นเวลานาน

"คาเฟอีน" (Caffeine) ก็มีส่วนเอี่ยว?

ในน้ำอัดลมหลายชนิดมีคาเฟอีนผสมอยู่ครับ ซึ่งคาเฟอีนมีฤทธิ์ขับปัสสาวะอ่อนๆ และอาจทำให้ร่างกาย "ขับแคลเซียมออกมาทางปัสสาวะ" เพิ่มขึ้นเล็กน้อย (แต่ปริมาณที่ขับออกถือว่าน้อยมากครับ ถ้าเรากินแคลเซียมชดเชยเพียงพอ ก็แทบไม่มีผลกระทบ)

เหตุผลที่สำคัญที่สุด: "การแทนที่" (Displacement)

จริงๆ แล้ว ปัญหาใหญ่ที่สุดอาจไม่ได้อยู่ที่ "สารในน้ำอัดลม" โดยตรงครับ แต่อยู่ที่ "พฤติกรรมการกิน" คนที่ติดน้ำอัดลม มักจะ "ดื่มน้ำอัดลม แทน นม"

  • เมื่อกระเพาะเต็มไปด้วยน้ำหวาน ก็จะอิ่มและไม่ดื่มนม หรือกินอาหารที่มีประโยชน์
  • ร่างกายจึงขาดแคลเซียมสะสมเรื้อรัง ไม่ใช่เพราะน้ำอัดลมไปกัดกระดูก แต่เพราะ "ไม่ได้เติมแคลเซียมเข้าคลัง" ต่างหากครับ

งานวิจัยเขาว่ายังไง?

การศึกษาจาก Framingham Osteoporosis Study พบว่า ผู้หญิงที่ดื่มน้ำอัดลมชนิดน้ำดำ (Cola) เป็นประจำทุกวัน มีความหนาแน่นของมวลกระดูกสะโพก "ต่ำกว่า" คนที่ไม่ดื่ม อย่างมีนัยสำคัญ (แต่ผลนี้กลับไม่ชัดเจนในผู้ชาย และไม่ชัดเจนในน้ำอัดลมสีใส)

ใครที่ต้องระวังเป็นพิเศษ?

  1. ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน: เพราะฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ช่วยปกป้องกระดูกหมดไปแล้ว กระดูกจะบางลงเร็วมาก ถ้ายิ่งดื่มน้ำอัดลมเยอะ ก็เหมือนเร่งความเสื่อม
  2. เด็กและวัยรุ่น: เป็นช่วง "นาทีทอง" ในการสะสมมวลกระดูก (Bone Bank) ถ้าช่วงนี้เอาแต่กินน้ำอัดลม ไม่กินนม... โตไปกระดูกจะไม่แข็งแรง และเสี่ยงพรุนเร็วตอนแก่
  3. คนที่ไม่กินแคลเซียม: ถ้าคุณไม่กินนม ไม่กินผักใบเขียว แต่กินน้ำอัดลม... อันนี้เสี่ยงเต็มๆ ครับ

ทางสายกลาง: ดื่มยังไงให้กระดูกยังยิ้มได้?

ไม่ได้ห้ามดื่มเด็ดขาดนะครับ ชีวิตยังต้องการความหวานและความสดชื่นบ้าง แต่ควรปรับตามนี้:

  1. ดื่มพอหายอยาก: วันละไม่เกิน 1 แก้ว หรือสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ไม่ใช่ดื่มแทนน้ำเปล่า
  2. อย่าทิ้งนม: ต้องมั่นใจว่าในแต่ละวัน คุณได้รับแคลเซียมเพียงพอ (นม 1-2 แก้ว หรือปลาเล็กปลาน้อย) เพื่อชดเชยส่วนที่เสียไป
  3. เลือกสีใสดีกว่า: ถ้าติดความซ่า ลองเปลี่ยนจากน้ำดำมาเป็นน้ำสีใส (Lemon-lime) เพราะมักจะไม่มีกรดฟอสฟอริก (แต่ระวังเรื่องน้ำตาลและเบาหวานแทนนะครับ!)

บทสรุป

การดื่มน้ำอัดลม "มากเกินไป" มีส่วนทำให้กระดูกบางลงได้จริงครับ โดยเฉพาะในผู้หญิงและคนที่ขาดแคลเซียม แต่ไม่ได้น่ากลัวถึงขั้นดื่มปุ๊บกระดูกผุปั๊บ

กุญแจสำคัญคือ "ความสมดุล" ครับ ถ้าคุณทานแคลเซียมพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การดื่มน้ำอัดลมบ้างเป็นครั้งคราว ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายครับ แต่ถ้า "ขาดนม แล้วถมด้วยน้ำอัดลม" อันนี้กระดูกพรุนถามหาแน่นอนครับ

บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์

สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่ ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง) ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ สอบถามปัญหาโรคกระดูกและข้อ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ปวดไหล่ กระดูกพรุน ได้ครับ 📱 Line ID: @doctorkeng

#น้ำอัดลมกระดูกพรุน #กระดูกพรุน #แคลเซียม #ดูแลกระดูก #หมอเก่งกระดูกและข้อ #DoctorKeng

วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2568

FRAX Score คืออะไร? เครื่องมือประเมินความเสี่ยง “กระดูกพรุน–กระดูกหัก” ที่ทุกคนอายุ 40+ ควรทำอย่างน้อยปีละครั้ง


FRAX Score คืออะไร? เครื่องมือประเมินความเสี่ยง “กระดูกพรุน–กระดูกหัก” ที่ทุกคนอายุ 40+ ควรทำอย่างน้อยปีละครั้ง

หลายคนเข้าใจว่า “กระดูกพรุน” เป็นโรคของผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ในความจริงผู้หญิงหลังวัยหมดประจำเดือน ผู้ชายอายุ 50+ หรือแม้แต่วัยทำงานที่มีปัจจัยเสี่ยงก็อาจมีภาวะกระดูกพรุนโดยไม่รู้ตัว เพราะโรคนี้ ไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า จนกว่าจะเกิด “กระดูกหัก” แล้วถึงจะรู้ตัว ซึ่งมักเสี่ยงต่อความพิการและคุณภาพชีวิตลดลงอย่างมาก

หนึ่งในเครื่องมือที่น่าใช้ที่สุด เพราะใช้ง่าย แม่น และออกแบบโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) คือ FRAX Score ซึ่งสามารถประเมินความเสี่ยงกระดูกหักใน 10 ปีข้างหน้าได้ในเวลาเพียง 2–3 นาที

ในบทความนี้ ผมจะอธิบายแบบภาษาชาวบ้าน เพื่อให้ทุกคนเข้าใจและสามารถกดทำแบบประเมินได้ทันที

FRAX Score คืออะไร? (อธิบายเข้าใจง่าย)

FRAX คือ “แบบประเมินออนไลน์” ที่คำนวณความเสี่ยงที่กระดูกจะหักในช่วง 10 ปีข้างหน้า โดยดูจากทั้ง อายุ พฤติกรรม และโรคประจำตัว ของแต่ละคน

ผลที่ได้จะแบ่งเป็น 2 ค่า

  • ความเสี่ยงกระดูกสะโพกหักใน 10 ปี (%)
  • ความเสี่ยงกระดูกหักใหญ่ใน 10 ปี (%) เช่น ข้อมือ ต้นแขน สะโพก

ค่าทั้งสองตัวนี้ช่วยให้รู้ว่า

  • เรามีโอกาส “เสี่ยงสูงหรือไม่?”
  • ควรเริ่มตรวจวัดความหนาแน่นกระดูกไหม?
  • ต้องรักษาหรือยัง?

ใครควรทำ FRAX Score?

เหมาะกับคนอายุ 40 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อไปนี้

  • ผู้หญิงหลังหมดประจำเดือน
  • ผู้ชายอายุ 50 ปีขึ้นไป
  • น้ำหนักน้อย ตัวผอม
  • สูบบุหรี่เป็นประจำ
  • ดื่มแอลกอฮอล์มาก
  • เคยล้มแล้วกระดูกหัก แม้แรงไม่มาก
  • ใช้ยาสเตียรอยด์นาน
  • มีโรคประจำตัว เช่น รูมาตอยด์ ไทรอยด์เป็นพิษ
  • พ่อแม่หรือญาติสายตรงเคยกระดูกสะโพกหัก

แม้จะ “ยังไม่มีอาการ” ก็ควรทำ เพราะโรคกระดูกพรุนมักเงียบจนเกิดกระดูกหักก่อนถึงรู้ตัว

ข้อมูลที่ต้องกรอกมีอะไรบ้าง?

แบบประเมินถามข้อมูลสั้น ๆ เช่น

  • อายุ / เพศ
  • น้ำหนัก / ส่วนสูง
  • เคยสูบบุหรี่ไหม
  • ดื่มแอลกอฮอล์มากไหม
  • พ่อแม่เคยกระดูกสะโพกหักหรือไม่
  • เคยกระดูกหักจากแรงเบา ๆ ไหม
  • ใช้สเตียรอยด์ประจำหรือเปล่า
  • มีโรคเรื้อรังบางอย่างหรือไม่

ไม่ต้องมีผลตรวจพิเศษก็ทำได้ แต่ถ้า มีผลวัดความหนาแน่นกระดูก (BMD) ใส่เพิ่มได้ เพื่อให้ผลแม่นยำขึ้น

ทำแบบประเมินเองได้ที่นี่

คลิกเข้าไปทำได้ฟรี ใช้เวลาไม่ถึง 3 นาที

👉 https://www.fraxplus.org/th/calculation-tool

แนะนำให้ทำปีละครั้ง หรือเมื่ออายุเพิ่มขึ้น 5 ปี เพราะความเสี่ยงจะเปลี่ยนไปตามวัยและพฤติกรรม

ผลที่ได้บอกอะไร?

หลังทำจะได้ตัวเลข 2 ค่าพร้อมกราฟเปรียบเทียบ

1) ความเสี่ยงกระดูกสะโพกหักใน 10 ปี (%)

  • หาก ≥ 3% ถือว่าเสี่ยงสูง ควรพบแพทย์เพื่อประเมินการรักษา

2) ความเสี่ยงกระดูกหักใหญ่ใน 10 ปี (%)

  • หาก ≥ 20% ถือว่าสูง ควรเริ่มวางแผนป้องกันทันที

ค่าที่สูงไม่ใช่ “วินิจฉัยว่าเป็นโรค” แต่เป็นสัญญาณบอกว่าควรตรวจละเอียดขึ้น เช่น การตรวจความหนาแน่นกระดูก (BMD)

ทำไมการรู้ FRAX Score ถึงสำคัญ?

เพราะกระดูกพรุนเป็นโรคที่ “ป้องกันได้มากกว่ารักษา” ยิ่งรู้ความเสี่ยงเร็วเท่าไหร่ ยิ่งลดโอกาสกระดูกหักได้ง่าย

ตัวเลข FRAX จะช่วยชี้ว่า

  • ควรเริ่มเสริมแคลเซียม–วิตามินดีไหม
  • ควรปรับอาหารและออกกำลังกายแบบไหน
  • ควรตรวจ BMD หรือเริ่มยาไหม
  • มีความเสี่ยงล้มในบ้านจากอะไรบ้าง

เหมาะมากสำหรับผู้สูงอายุที่อยากดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี

ถ้าผลออกมาว่าเสี่ยงสูง ควรทำอย่างไร?

ทำตามลำดับต่อไปนี้

1) พบแพทย์เฉพาะทาง

แพทย์จะประเมินว่าต้องเริ่มยาไหม หรือแค่ปรับพฤติกรรมก่อน

2) ตรวจความหนาแน่นกระดูก (BMD)

เพื่อดูว่ามีกระดูกพรุนจริงหรือไม่

3) ปรับพฤติกรรม

  • ออกกำลังกายเสริมกล้ามเนื้อขา–ลำตัว
  • ทานโปรตีนให้พอ
  • ลดการล้มในบ้าน เช่น เก็บของ ไม่ใช้พื้นลื่น

4) ในบางรายอาจต้องใช้ยา

เช่น ยาช่วยลดการสลายกระดูก หรือยากระตุ้นการสร้างกระดูก ขึ้นกับผลตรวจและปัจจัยเสี่ยง

สรุป

FRAX Score เป็นเครื่องมือที่ง่าย สะดวก และมีความแม่นยำสูงในการประเมินความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุนและกระดูกหักในอนาคต ช่วยให้เรารู้ตัวก่อนเกิดปัญหารุนแรง เช่น สะโพกหักหรือกระดูกสันหลังยุบ

ผู้ที่อายุ 40 ปีขึ้นไปควรทำเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง การรู้ตัวก่อนทำให้วางแผนป้องกันได้ง่ายขึ้นมาก ทั้งการเสริมอาหาร ออกกำลังกาย ตรวจ BMD และปรึกษาแพทย์เพื่อดูแลอย่างถูกวิธี

ทำแบบประเมินได้ที่นี่

👉 https://www.fraxplus.org/th/calculation-tool

บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์

สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง)

ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ

สอบถามปัญหาโรคกระดูกและข้อ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ปวดไหล่ กระดูกพรุน ได้ครับ

📱 Line ID: @doctorkeng โทร 081-5303666

#กระดูกพรุน #FRAXscore #ป้องกันกระดูกหัก #วัดความหนาแน่นกระดูก #ผู้สูงอายุ