วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

การใช้ยารักษาโรคกระดูกพรุน ต้องใช้ “นานแค่ไหน?” และ “หยุดยาได้หรือไม่?”

 



การใช้ยารักษาโรคกระดูกพรุน ต้องใช้ “นานแค่ไหน?” และ “หยุดยาได้หรือไม่?”

โรคกระดูกพรุนเป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากมวลกระดูกลดลง ทำให้เสี่ยงต่อ “กระดูกหักจากแรงเบา” เช่น หกล้มเบา ๆ ก็หักได้ ซึ่งพบมากในวัย 50 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะผู้หญิงหลังหมดประจำเดือน

ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีคำถามสำคัญว่า
“ต้องใช้ยานานแค่ไหน?” และ “หยุดยากระดูกพรุนได้ไหม?”

บทความนี้หมอสรุปอย่างเป็นระบบ เข้าใจง่าย และอ้างอิงจากแนวทางสากล เพื่อช่วยให้ตัดสินใจอย่างปลอดภัยครับ


🔵 กลุ่มยารักษาโรคกระดูกพรุนแต่ละประเภท และระยะเวลาที่ควรใช้

การรักษามีหลายกลุ่มยา แต่ละชนิดมีกลไกและ “กฎเรื่องการหยุดยา” ไม่เหมือนกัน หมอสรุปเป็นประเภทดังนี้


🟣 1) กลุ่มยาชะลอการสลายกระดูก (Antiresorptive drugs)

A. Bisphosphonates

เช่น Fosamax (alendronate), Actonel, Bonviva, Aclasta (zoledronic acid)

📌 ระยะเวลาที่ควรใช้

  • กิน (oral) → 3–5 ปี

  • ฉีดปีละครั้ง (Aclasta) → 3 ปีติดต่อกัน

หลังครบกำหนด แพทย์จะประเมินความเสี่ยงกระดูกหักอีกครั้ง เพื่อพิจารณา “พักยา (Drug holiday)” ได้

📌 สามารถหยุดยาได้ไหม?

หยุดได้ (เฉพาะยากลุ่มนี้) เพราะยาเก็บสะสมในกระดูกยาวนาน และยังคงป้องกันกระดูกหักหลังหยุดได้หลายปี

📌 เหมาะกับใคร?

  • กระดูกพรุนปานกลาง–รุนแรง

  • ผู้ที่ไม่สามารถรับ Prolia ได้


🟣 B. Denosumab (Prolia)

เป็นยาฉีดทุก 6 เดือน ยับยั้งเซลล์สลายกระดูกอย่างมีประสิทธิภาพมาก

📌 ระยะเวลาที่ควรใช้

  • ควรใช้ อย่างน้อย 3–5 ปี

  • ผู้มีความเสี่ยงสูงอาจใช้ ยาวกว่า 5–10 ปี

📌 หยุดยาได้ไหม?

ห้ามหยุดเฉียบพลันเด็ดขาด!

  • หากหยุด → กระดูกอ่อนแรงทันที

  • เสี่ยง กระดูกสันหลังหักเป็นปล้อง ๆ (Rebound Vertebral Fracture) ภายใน 6–12 เดือน

📌 ถ้าต้องหยุด ต้องทำอย่างไร?

ต้อง เปลี่ยนไปใช้ยากลุ่ม Bisphosphonates ทันที เพื่อป้องกันรีบาวด์

📌 เหมาะกับใคร?

  • กระดูกพรุนระดับปานกลาง–รุนแรง

  • ผู้ที่มีกระดูกสันหลังเคยยุบหรือเสี่ยงสูง


🔵 2) กลุ่มยากระตุ้นการสร้างกระดูก (Anabolic agents)

Teriparatide (Forsteo), Abaloparatide

กระตุ้นเซลล์สร้างกระดูกโดยตรง เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงกระดูกหักสูงมาก

📌 ระยะเวลาที่ควรใช้

  • สูงสุด 18–24 เดือน 

📌 หลังครบ 2 ปี ต้องทำอย่างไร?

ต้อง ต่อด้วย Bisphosphonate หรือ Prolia เพื่อ “ล็อกผลลัพธ์” ไม่ให้กระดูกลดลง

📌 เหมาะกับใคร?

  • ผู้ที่มีรอยยุบของกระดูกสันหลังหลายจุด

  • กระดูกพรุนรุนแรงมาก


🔵 3) ยาฮอร์โมนทดแทน (HRT) และ SERMs

เช่น Evista (raloxifene)

📌 ระยะเวลาที่ใช้

  • ขึ้นกับความจำเป็นด้านอาการหมดประจำเดือน และความเสี่ยงส่วนตัว

  • ใช้เป็นตัวเลือกเสริมในบางราย

📌 หยุดยาได้ไหม?

  • หยุดได้ แต่การป้องกันกระดูกจะหายไปทันที


🔵 4) แคลเซียม + วิตามินดี

เสริมร่วมกับยาหลัก แต่ ไม่ได้รักษากระดูกพรุนเพียงลำพัง

ระยะเวลาการใช้

  • รับประทานได้ยาวนาน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ

  • ต้องปรับขนาดตามผลเลือดและการทำงานของไต


🔥 สรุป “การหยุดยา” ของแต่ละกลุ่ม (สำคัญมาก!)

  • Bisphosphonates → หยุดได้ หลัง 3–5 ปี หากความเสี่ยงลดลง

  • Prolia (Denosumab) → ห้ามหยุดเด็ดขาด ถ้าต้องหยุดต้องเปลี่ยนยา

  • Teriparatide → หยุดได้ แต่ต้องต่อด้วยยาอีกชนิดทันที

  • HRT / SERMs → หยุดได้ แต่การป้องกันกระดูกจะหายไป

  • แคลเซียม–วิตามินดี → ใช้ได้ยาวนาน


🧠 แล้ว “ตัวเรา” ต้องใช้ยานานแค่ไหน?

คำตอบขึ้นกับ 4 ปัจจัย:

  1. ค่า T-score จาก DEXA scan

  2. เคยมีกระดูกหักจากแรงเบา (Fragility fracture) หรือไม่

  3. อายุ + ความเสี่ยงล้ม

  4. โรคร่วม เช่น ไต เบาหวาน มะเร็ง

แพทย์จะใช้ข้อมูลเหล่านี้กำหนด “ระยะเวลาเหมาะสมเฉพาะราย”


🟢 หมอสรุปแบบเข้าใจง่าย

  • ยากระดูกพรุน “แต่ละประเภท” ใช้ไม่เท่ากัน

  • บางตัวหยุดได้ (Bisphosphonate)

  • บางตัว หยุดไม่ได้ (Prolia)

  • บางตัวใช้แค่ 18–24 เดือนแล้วต้องเปลี่ยนยา (Teriparatide)

  • การประเมิน DEXA scan ทุก 1–2 ปี ช่วยกำหนดแผนรักษาที่ยั่งยืน

การหยุดยาหรือเปลี่ยนยา ต้องอยู่ภายใต้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อป้องกันภาวะกระดูกสันหลังหักซ้ำ


บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์
สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่
ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง)
ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ
📱 Line ID: @doctorkeng โทร 081-5303666

#กระดูกพรุน #ยากระดูกพรุน #Prolia #Fosamax #Forsteo #ข้อเสื่อม #หมอเก่ง #ป้องกันกระดูกหัก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น