บรรยายโรคกระดูกพรุนสำหรับนักศึกษาแพทย์ แพทย์ และบุคคลที่สนใจ
กระดูกพรุน Osteoporosis
วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2556
ความสัมพันธ์ของโรคปวดหลัง และกระดูกพรุน
กรณีศึกษาน่าสนใจในผู้สูงอายุที่มาพบแพทย์ด้วยอาการปวดหลัง
เพื่อความเข้าใจของคนทั่วไปเกี่ยวกับเรื่องโรคกระดูกพรุน ผมอยากจะอธิบายให้ฟังดังรายละเอียดดังนี้ครับ ปัญหาโรคกระดูกพรุนคือ ภาวะที่ผู้ป่วยมีปริมาณความหนาแน่นของมวลกระดูกลดลง โครงสร้างภายในของกระดูกมีการเสื่อมสลายทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักได้ง่ายมากขึ้นกว่าคนปกติ
โดยทั่วไปอาการแสดงของผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนมักจะมี 2 ระยะคือ
1. ในระยะเริ่มต้นที่มวลกระดูกเริ่มลดลงเรื่อยๆ ผู้ป่วยมักจะไม่มีอาการอะไรเลย ส่วนใหญ่มักจะเริ่มต้นในผู้หญิงที่เริ่มหมดประจำเดือน และมีปัจจัยเสี่ยง ช่วงนี้สามารถตรวจสอบได้จากการวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกเท่านั้น
2. ในระยะที่กระดูกพรุนชนิดรุนแรง คือ มีกระดูกโปร่งบางมาก ร่วมกับมีกระดูกสันหลังหักยุบ หรือการเกิดกระดูกสะโพกหัก ซึ่งผู้ป่วยมักจะมีอาการปวดหลัง หลังโก่งค่อม และสังเกตได้ว่าส่วนสูงของผู้ป่วยลดลง ในบางครั้งอาการปวดหลังอาจจะร้าวมาที่บริเวณหน้าอก หลังโก่ง ทานข้าวได้น้อยลง อืดท้องแน่นท้อง มักจะพบได้ในผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป บางครั้งอาจเกิดกระดูกหักที่ตำแหน่งบริเวณข้อมือ กระดูกหักง่าย ปวดเมื่อยตามร่างกาย เช่นในผู้ป่วยรายที่ผมจะยกตัวอย่างต่อไปนี้ครับ
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในการเกิดโรคกระดูกพรุนได้แก่
1.กระดูกตำแหน่งที่สำคัญหัก มีโอกาสหักมากกว่าร้อยละ 20 หรือ
2. กระดูกสะโพก มีโอกาสหักมากกว่าร้อยละ 3
จึงจะพิจารณาในการให้ยาในการรักษาโรคกระดูกพรุน ซึ่งถ้ามีค่าน้อยกว่านี้ก็ไม่มีความจำเป็นต้องรับประทานยารักษาโรคกระดูกพรุน
ในกรณีที่ผู้ป่วยเกิดกระดูกสะโพกหัก หรือกระดูกสันหลังยุบแล้ว ผู้ป่วยเหล่านี้มีความจำเป็นต้องรับการรักษาโรคกระดูกพรุน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกระดูกหักเพิ่มขึ้นอีก เช่น ในผู้ป่วยที่มีกระดูกสันหลังยุบจากโรคกระดูกพรุน พบว่าถ้าไม่ได้ให้การรักษาที่เหมาะสมจะพบว่าผู้ป่วยมีโอกาสเกิดกระดูกหักเพิ่มขึ้นอีกประมาณร้อยละ 20
สำหรับปัจจุบัน ยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนจะมีอยู่ 2 ประเภทคือ
1. ยาที่ยับยั้งการทำลายกระดูก เช่น
2. ยาที่กระตุ้นการสร้างกระดูก ซึ่งมีผลในการสร้างกระดูกโดยตรง ได้แก่ teriparatide (Forteo) มีข้อบ่งชี้ในผู้ป่วยที่มีกระดูกหักหลายตำแหน่ง เช่น กระดูกสันหลังยุบมากกว่า 2 ตำแหน่ง กระดูกสะโพกหัก หรือเช่นในผู้ป่วยรายที่ยกตัวอย่างข้างต้น ที่มีกระดูกสันหลังยุบมากกว่า 2 ตำแหน่ง ยานี้ใช้ฉีดใต้ผิวหนังทุกวัน นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ในการลดปวดหลังได้ด้วย
การพิจารณาให้ยาแต่ละชนิดขึ้นอยู่กับความเหมาะสมแต่ละราย และดุลยพินิจของแพทย์ ซึ่งต้องมีการพูดคุยและอธิบายประโยชน์ ข้อดี ข้อเสียของยาแต่ละประเภทให้ผู้ป่วยฟังอีกครั้ง โดยมีวัตถุประสงค์ร่วมกันคือการป้องกันการเกิดกระดูกหักในอนาคต
เพื่อความเข้าใจของคนทั่วไปเกี่ยวกับเรื่องโรคกระดูกพรุน ผมอยากจะอธิบายให้ฟังดังรายละเอียดดังนี้ครับ ปัญหาโรคกระดูกพรุนคือ ภาวะที่ผู้ป่วยมีปริมาณความหนาแน่นของมวลกระดูกลดลง โครงสร้างภายในของกระดูกมีการเสื่อมสลายทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักได้ง่ายมากขึ้นกว่าคนปกติ
โดยทั่วไปอาการแสดงของผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนมักจะมี 2 ระยะคือ
1. ในระยะเริ่มต้นที่มวลกระดูกเริ่มลดลงเรื่อยๆ ผู้ป่วยมักจะไม่มีอาการอะไรเลย ส่วนใหญ่มักจะเริ่มต้นในผู้หญิงที่เริ่มหมดประจำเดือน และมีปัจจัยเสี่ยง ช่วงนี้สามารถตรวจสอบได้จากการวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกเท่านั้น
2. ในระยะที่กระดูกพรุนชนิดรุนแรง คือ มีกระดูกโปร่งบางมาก ร่วมกับมีกระดูกสันหลังหักยุบ หรือการเกิดกระดูกสะโพกหัก ซึ่งผู้ป่วยมักจะมีอาการปวดหลัง หลังโก่งค่อม และสังเกตได้ว่าส่วนสูงของผู้ป่วยลดลง ในบางครั้งอาการปวดหลังอาจจะร้าวมาที่บริเวณหน้าอก หลังโก่ง ทานข้าวได้น้อยลง อืดท้องแน่นท้อง มักจะพบได้ในผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป บางครั้งอาจเกิดกระดูกหักที่ตำแหน่งบริเวณข้อมือ กระดูกหักง่าย ปวดเมื่อยตามร่างกาย เช่นในผู้ป่วยรายที่ผมจะยกตัวอย่างต่อไปนี้ครับ
ภาพของผู้ป่วยที่มีหลังโก่งเนื่องจากมีการยุบตัวของกระดูกสันหลัง |
นอกจากหลังโก่ง ผู้ป่วยยังมีอาการปวดหลัง ร่วมกับอาการปวดร้าวลงขา ลงน่องและชาบริเวณหลังเท้าร่วมด้วย |
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในการเกิดโรคกระดูกพรุนได้แก่
- ประจำเดือนหมดวัยกว่าปกติโดยเฉพาะก่อนอายุ 45 ปี
- มีโรคประจำตัวเช่น ข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคไทรอยด์เป็นพิษ
- ใช้ยาสเตียรอยด์เป็นประจำในปริมาณมาก และต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ทั้งในการรักษาโรค หรือรับประทานเอง
- มีประวัติครอบครัวทางแม่เคยเป็นโรคกระดูกพรุน หรือเคยมีกระดูกสะโพกหักในครอบครัว โดยเฉพาะครอบครัวฝั่งของมารดา
- สูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอลเป็นประจำ
- กระดูกหักง่ายหลังจากอายุ 40 ปี
- ในวัยเด็ก วัยรุ่น ให้ดื่มนม ออกกำลังกายให้เหมาะสม
- หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงเช่น การดื่มสุรา และการสูบบุหรี่
- ในวัยที่อายุมากกว่า 40 ปี ให้ได้รับปริมาณของแคลเซียมให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ซึ่งอาจรับประทานแคลเซียมชนิดเม็ดเช่น caltrate 600 มิลลิกรัม รับประทานวันละ 1 เม็ด ก็จะเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เนื่องจากมีการวิจัยพบว่าโดยเฉลี่ย คนไทยได้ปริมาณแคลเซียมจากอาหารประมาณ 300 - 400 มิลลิกรัม ซึ่งถ้าได้รับแคลเซียมเสริมเข้าไปก็จะทำให้เท่ากับปริมาณพอเพียงที่ร่างกายต้องการ
- ในผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 65 ปีแนะนำให้ไปตรวจวัดมวลกระดูกจากเครื่องใหญ่ที่เรียกว่า DEXA (Dual Energy absorptiometry) ซึ่งจะตรวจวัดมวลกระดูก 2 ตำแหน่งคือ ที่บริิเวณกระดูกสันหลังส่วนเอว และ กระดูกสะโพก
- ในผู้หญิงที่หมดประจำเดือนร่วมกับมีปัจจัยเสี่ยงแนะนำให้ตรวจวัดมวลกระดูกได้เลย เพื่อประเมินสภาพของมวลกระดูกในขณะนั้นว่าเป็นอย่างไร
1.กระดูกตำแหน่งที่สำคัญหัก มีโอกาสหักมากกว่าร้อยละ 20 หรือ
2. กระดูกสะโพก มีโอกาสหักมากกว่าร้อยละ 3
จึงจะพิจารณาในการให้ยาในการรักษาโรคกระดูกพรุน ซึ่งถ้ามีค่าน้อยกว่านี้ก็ไม่มีความจำเป็นต้องรับประทานยารักษาโรคกระดูกพรุน
ในกรณีที่ผู้ป่วยเกิดกระดูกสะโพกหัก หรือกระดูกสันหลังยุบแล้ว ผู้ป่วยเหล่านี้มีความจำเป็นต้องรับการรักษาโรคกระดูกพรุน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกระดูกหักเพิ่มขึ้นอีก เช่น ในผู้ป่วยที่มีกระดูกสันหลังยุบจากโรคกระดูกพรุน พบว่าถ้าไม่ได้ให้การรักษาที่เหมาะสมจะพบว่าผู้ป่วยมีโอกาสเกิดกระดูกหักเพิ่มขึ้นอีกประมาณร้อยละ 20
สำหรับปัจจุบัน ยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนจะมีอยู่ 2 ประเภทคือ
1. ยาที่ยับยั้งการทำลายกระดูก เช่น
- ยาในกลุ่ม Bisphosphonates ที่มีหลากหลายชนิดเช่น ชนิดที่รับประทานอาทิตย์ละ 1 เม็ดเช่น Alendronate (Fosamax plus), Risedronate (Actonel), หรือชนิดที่ฉีดปีละ 1 ครั้งเช่น Zoledronate (Aclasta)
- ยา Strontium (Protaxos) มีฤทธิ์ในการยับยั้งการทำลายกระดูก
- ยาในกลุ่มที่เป็นแอนติบอดี้ มีผลยับยั้งการทำลายกระดูกที่ระดับเซลล์ และไม่มีผลต่อไต ได้แก่ Denosumab (Prolia) ซึ่งใช้ฉีดใต้ผิวหนังทุกๆ 6 เดือน
2. ยาที่กระตุ้นการสร้างกระดูก ซึ่งมีผลในการสร้างกระดูกโดยตรง ได้แก่ teriparatide (Forteo) มีข้อบ่งชี้ในผู้ป่วยที่มีกระดูกหักหลายตำแหน่ง เช่น กระดูกสันหลังยุบมากกว่า 2 ตำแหน่ง กระดูกสะโพกหัก หรือเช่นในผู้ป่วยรายที่ยกตัวอย่างข้างต้น ที่มีกระดูกสันหลังยุบมากกว่า 2 ตำแหน่ง ยานี้ใช้ฉีดใต้ผิวหนังทุกวัน นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ในการลดปวดหลังได้ด้วย
การพิจารณาให้ยาแต่ละชนิดขึ้นอยู่กับความเหมาะสมแต่ละราย และดุลยพินิจของแพทย์ ซึ่งต้องมีการพูดคุยและอธิบายประโยชน์ ข้อดี ข้อเสียของยาแต่ละประเภทให้ผู้ป่วยฟังอีกครั้ง โดยมีวัตถุประสงค์ร่วมกันคือการป้องกันการเกิดกระดูกหักในอนาคต
วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2556
Interesting case : Back pain and osteoporosis
วันนี้มีกรณีศึกษาที่น่าสนใจเอามาแบ่งปันครับ
ผู้ป่วยหญิงไทยอายุ 75 ปีมาพบแพทย์ด้วยอาการปวดหลัง ปวดชาร้าวลงขาทั้ง 2 ข้าง เดินลำบาก อุจจาระและปัสสาวะปกติดีไม่มีปัญหา นั่งหรือนอนพักไม่มีอาการปวด ไม่มีอาการอ่อนแรงของขา มีอาการปวดเวลาเดิน
รูปภาพของผู้ป่วย
ภาพของผู้ป่วยมีลักษณะของกระดูกสันหลังผิดปกติ ทั้งในแนว horizontal plane and coronal plane ซึ่งเป็นลักษณะของ scoliosis and kyphotic deformity
เมื่อท่านเจอผู้ป่วยที่มีลักษณะอย่างนี้อย่าลืมซักประวัติเรื่องของโรคกระดูกพรุน ร่วมด้วย ทั้งในเรื่องของปัจจัยเสี่ยง body height ที่ลดลง รวมทั้งอาการปวดหลังของผู้ป่วย เนื่องจากผู้ป่วยมีอายุมากกว่า 65 ปี ร่วมกับมีลักษณะความผิดปกติของกระดูกสันหลัง kyphotic deformity ร่วมด้วยครับ
นอกจากนี้การส่งตรวจภาพทางรังสีคือการส่ง film T spine and LS spine ในท่า lateral จะช่วยทำให้เราสามารถประเมินดูความสูงของกระดูกสันหลังในแต่ละระดับเทียบกันได้ครับ
ภาพรังสีของผู้ป่วยจะเห้นได้ว่าในตำแหน่งของกระดูกสันหลังส่วนของ thoracic level มีกระดูกสันหลังยุบ หลายระดับ เนื่องจากความสูงของกระดูกสันหลังในแต่ละปล้องลดลง และในตำแหน่งของกระดูกสันหลังตรงบริเวณ L5 ก็มีการยุบลง เนื่องจากความสูงของกระดูกสันหลังลดลงมากกว่า 25% เมื่อเปรียบเทียบกับกระดูกที่ติดกัน ดังนั้นในผู้ป่วยรายนี้ได้รับการวินิจฉัยเป็น
ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ ภาควิชาออร์โทปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
tleerapun@gmail.com , www.taninnit.com , Facebook: Dr.Keng หมอเก่ง,
line ID search : keng3407
ผู้ป่วยหญิงไทยอายุ 75 ปีมาพบแพทย์ด้วยอาการปวดหลัง ปวดชาร้าวลงขาทั้ง 2 ข้าง เดินลำบาก อุจจาระและปัสสาวะปกติดีไม่มีปัญหา นั่งหรือนอนพักไม่มีอาการปวด ไม่มีอาการอ่อนแรงของขา มีอาการปวดเวลาเดิน
รูปภาพของผู้ป่วย
ภาพของผู้ป่วยมีลักษณะของกระดูกสันหลังผิดปกติ ทั้งในแนว horizontal plane and coronal plane ซึ่งเป็นลักษณะของ scoliosis and kyphotic deformity
เมื่อท่านเจอผู้ป่วยที่มีลักษณะอย่างนี้อย่าลืมซักประวัติเรื่องของโรคกระดูกพรุน ร่วมด้วย ทั้งในเรื่องของปัจจัยเสี่ยง body height ที่ลดลง รวมทั้งอาการปวดหลังของผู้ป่วย เนื่องจากผู้ป่วยมีอายุมากกว่า 65 ปี ร่วมกับมีลักษณะความผิดปกติของกระดูกสันหลัง kyphotic deformity ร่วมด้วยครับ
นอกจากนี้การส่งตรวจภาพทางรังสีคือการส่ง film T spine and LS spine ในท่า lateral จะช่วยทำให้เราสามารถประเมินดูความสูงของกระดูกสันหลังในแต่ละระดับเทียบกันได้ครับ
ภาพรังสีของผู้ป่วยจะเห้นได้ว่าในตำแหน่งของกระดูกสันหลังส่วนของ thoracic level มีกระดูกสันหลังยุบ หลายระดับ เนื่องจากความสูงของกระดูกสันหลังในแต่ละปล้องลดลง และในตำแหน่งของกระดูกสันหลังตรงบริเวณ L5 ก็มีการยุบลง เนื่องจากความสูงของกระดูกสันหลังลดลงมากกว่า 25% เมื่อเปรียบเทียบกับกระดูกที่ติดกัน ดังนั้นในผู้ป่วยรายนี้ได้รับการวินิจฉัยเป็น
- severe osteoporosis with multiple vertebral fractures
- spinal canal stenosis due to degenerative changes of spine and deformity of spine (kyphosis and scoliosis)
- Life styles modification : ห้ามนั่งกับพื้น ห้ามยกของหนัก
- Exercise
3. Oral medication การรับประทานยา
4. Epidural steroid injection under ultrasound guidance
5. Osteoporosis treatment ซึ่งใน case นี้มี multiple vertebral fractures มากกว่า 3 ระดับ จึงได้พิจารณาให้ยากลุ่ม bone formation agent : teriparatide แก่ผู้ป่วยครับ
ซึ่งติดตามอาการผู้ป่วยอาการปวดก็ทุเลาลง สามารถเดินได้ดีขึ้นครับ
tleerapun@gmail.com , www.taninnit.com , Facebook: Dr.Keng หมอเก่ง,
line ID search : keng3407
วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2555
ความสำคัญของแคลเซียม
ความรู้เรื่องแคลเซียม
หลายครั้งที่ผู้คนส่วนใหญ่มีความสงสัยเกี่ยวกับแคลเซียมซึ่งมีการโฆษณาทั้งทางโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์ ว่าความจริงนั้นเราจำเป็นต้องรับประทานแคลเซียมหรือไม่ ถ้าทานไปแล้วจะเกิดการสะสมในร่างกายทำให้เกิดกระดูกงอก เกิดนิ่วในไต หรือมีผลเสียต่อร่างกายหรือไม่ความจริงแล้วร่างกายของคนเรามีความต้องการของแคลเซียมเพื่อช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก โดยมีความต้องการที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงอายุคือ
- เพศชายและเพศหญิงอายุ 9-18 ปี ต้องการแคลเซียม 1,300 มิลลิกรัมต่อวัน
- เพศชายและเพศหญิงอายุ19-50 ปี ต้องการแคลเซียม 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน
- ผู้หญิงตั้งครรภ์ และให้นมบุตรต้องการแคลเซียม 1,300 มิลลิกรัมต่อวัน
- เพศชายและเพศหญิงอายุมากกว่า 50 ปี ต้องการแคลเซียม 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน
- อาหารที่มีแคลเซียมสูงได้แก่ โยเกิร์ต, นม 1 แก้ว(250 cc) มีแคลเซียม 300มก., ปลากระป๋อง, ผักบร๊อคเคอรี่, ผักใบเขียว
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่ควรรับประทานแคลเซียมคือ หลังอาหารทันที ซึ่งจะเป็นช่วงไหนก็ได้ของวันเพราะระบบทางเดินอาหารจะมีการหลั่งกรดออกมาซึ่งจะทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น
ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ ภาควิชาออร์โทปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
tleerapun@gmail.com , www.taninnit.com , Facebook: Dr.Keng หมอเก่ง,
line ID search : @doctorkeng
วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2555
ประเด็นสำคัญโรคกระดูกพรุน
โรคกระดูกพรุน
ประเด็นสำคัญ
โรคกระดูกพรุนเป็นความผิดปกติของระบบกระดูกที่มีปริมาณของมวลกระดูกต่ำ และคุณภาพโครงสร้างของกระดูกที่ไม่ดี ซึ่งทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหัก โรคกระดูกพรุนในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน (postmenopausal) เกิดขึ้นเมื่อความหนาแน่นของมวลกระดูกลดต่ำลงจากส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานมากกว่า 2.5 เมื่อเทียบกับผู้หญิงสุขภาพดีในวัยก่อนหมดประจำเดือน ซึ่งตัวเลขที่เบี่ยงเบนต่ำกว่ามาตรฐาน 2.5โรคกระดูกพรุนสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ
โรคกระดูกพรุนที่ไม่มีสาเหตุของการเกิด (Primary osteoporosis) คือโรคกระดูกพรุนที่มีการสูญเสียมวลกระดูกเมื่อมีอายุเพิ่มมากขึ้น
ชนิดที่ 1 เชื่อว่าโรคกระดูกพรุนเกิดจากการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ทำให้อัตราของการทำลายกระดูกมากกว่าการสร้างกระดูก โดยรวมจึงทำให้ปริมาณของมวลกระดูกลดลงชนิดที่ 2 โรคกระดูกพรุนที่เกิดจากอายุเพิ่มมากขึ้น ทำให้อัตราการสร้างกระดูกลดลง
ในปี พ.ศ.2537 องค์การอนามัยโลกได้ให้คำจัดความของโรคกระดูกพรุนตามการวัดหาความหนาแน่นของมวลกระดูกและประวัติของการเกิดกระดูกหัก เกณฑ์ในการวินิจฉัยว่าเป็นโรคกระดูกพรุน เมื่อวัดค่าของมวลกระดูกแล้วมีค่าเท่ากับหรือน้อยกว่า -2.5 ของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานจากค่ามวลกระดูกในกลุ่มที่มีช่วงอายุ 20 -30 ปี ตามเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลกพบว่าประมาณร้อยละ 20 – 30 ของผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือนในประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีปัญหาโรคกระดูกพรุน และมีผู้ป่วยประมาณ 1.3 ล้านคนเกิดกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุน
การซักประวัติ
โรคกระดูกพรุนเป็นภัยเงียบ มักไม่แสดงอาการใดๆจนกระทั่งมีการเกิดกระดูกหัก ดังนั้นการคัดกรองบุคคลทั่วไปจึงมีความจำเป็น รวมทั้ง- การซักประวัติเพื่อคัดกรองหาบุคคลที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน
- การซักประวัติและการประเมินความเสี่ยงของแต่ละบุคคลต่อการเกิดกระดูกหักในอนาคต
- การซักประวัติเกี่ยวกับสาเหตุนำที่ทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนเช่น โรคประจำตัว การใช้ยาสเตียรอยด์ รวมทั้งประวัติเคยเกิดกระดูกหักง่ายมาก่อน น้ำหนักน้อย ประวัติบุคคลในครอบครัวเคยเกิดกระดูกสันหลังหัก หรือกระดูกสะโพกหัก
การตรวจร่างกาย
- การตรวจร่างกายโดยทั่วไปมักจะไม่พบความผิดปกติอะไรมากนัก
- การตรวจร่างกายควรประเมินเกี่ยวกับเรื่อง การมองเห็นของผู้ป่วย ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ลักษณะการเดิน และการรักษาสมดุลของการทรงตัว ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้จะเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสล้มสูงและทำให้เกิดกระดูกหักเพิ่มมากขึ้น
- การตรวจพบลักษณะของกระดูกหลังค่อม (Kyphotic deformity of the spine) มักเป็นผลแสดงในระยะหลังที่เกิดกระดูกพรุนร่วมกับมีการหักยุบตัวของกระดูกสันหลังแล้ว
การตรวจทางรังสี
การตรวจวัดหาค่าความหนาแน่นของมวลกระดูก (Bone mass density) เป็นสิ่งสำคัญในการประเมินให้การวินิจฉัยโรคกระดูกพรุน และเป็นการตรวจสอบเพื่อติดตามผลตอบสนองต่อการรักษาของผู้ป่วยมาตรฐานการตรวจหาความหนาแน่นของกระดูกต้องตรวจเด้วยเครื่อง Central dual-energy absorptiometry ซึ่งพบว่าเมื่อมีการลดลงของความหนาแน่นมวลกระดูกทุกๆ 1 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน จากค่าปกติในคนวัยหนุ่มสาว (อายุประมาณ 20 – 30 ปี) จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักเพิ่มมากขึ้นประมาณ 2 – 3 เท่า
การตรวจด้วยเครื่อง peripheral technologies เช่น peripheral quantitative computed tomography เครื่อง peripheral dual-energy x-ray absorptiometry และเครื่อง quantitative ultrasonography ซึ่งเป็นการตรวจบริเวณส่วยรยางค์ของร่างกาย เช่นกระดูกส้นเท้า กระดูกข้อมือ ใช้เป็นเพียงแค่เครื่องมือในการคัดกรองโรคเท่านั้น ไม่ได้ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อวินิจฉัยโรคการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคกระดูกพรุน ควรได้รับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อตรวจว่ามีสาเหตุของโรคที่ทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนหรือไม่ การตรวจทางห้องปฏิบัติการได้แก่ การตรวจซีรั่มเพื่อหาระดับของ แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม เครียทินีน ระดับของฮอร์โมนพาราไทรอยด์ ระดับของวิตามินดี และระดับของฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในเพศชาย ในผู้ป่วยบางรายที่มีกระดูกบางมากๆอาจจำเป็นต้องตรวจ electrophoresis ในซีรั่มและในปัสสาวะเพื่อคัดกรองโรค multiple myelomaการตรวจการขับถ่ายปัสสาวะใน 24 ชั่วโมงจะมีประโยชน์ในการติดตามภาวการณ์ดูดซึมของแคลเซียมด้วย
การวินิจฉัยแยกโรค
- Osteomalacia หรือภาวะที่มีการบกพร่องของกระบวนการ mineralization ทำให้ผู้ป่วยมีลักษณะของความหนาแน่นของมวลกระดูฏต่ำ ร่วมกับการเกิดกระดูกหักผู้ป่วยที่เป็นโรคกระดูกพรุนอาจจะมีภาวะของ osteomalacia ร่วมด้วย เนื่องจากมีภาวะของการขาดวิตามินดี และทำให้ร่างกายมีการดูดซึมแคลเซียมที่ผิดปกติ
การรักษา
การรักษาโรคกระดูกพรุนประกอบด้วยหลายส่วนด้วยกันได้แก่การปรับปรุงการใช้ชีวิตประจำวัน (lifestyle modifications)
- ผู้ป่วยทุกคนควรออกกำลังกายชนิดที่มีการรับน้ำหนัก (weight-bearing exercise) เช่นการเดิน การวิ่ง ร่วมกับการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (strength training)
- ผู้ป่วยทุกรายที่มีปัญหาในการเคลื่อนไหวควรต้องส่งต่อให้นักกายภาพบำบัดเพื่อทำการฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกาย
- ผู้ป่วยทุกคนควรได้รับคำแนะนำในการป้องกันการหกล้ม ซึ่งได้แก่ การปรับแสงไฟฟ้าให้สว่างเพียงพอภายในที่พักอาศัย จัดวางสิ่งของภายในบ้านให้เป็นระเบียบเรียบร้อย การใช้เครื่องพยุงช่วยเดิน หลีกเลี่ยงการเดินบนพื้นผิวไม่เรียบ ถ้ามีปัญหาทางสายตาควรได้รับการแก้ไขเช่นโรคต้อกระจก ต้อหิน
การรับสารอาหาร
- ผู้ป่วยควรได้รับแคลเซียมและวิตามินที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ซึ่งผู้ป่วยที่เป็นโรคกระดูกพรุนควรได้รับปริมาณของแคลเซียมวันละ 1,500 มิลลิกรัม ทางอาหารและแคลเซียมเสริมชนิดเม็ด ปริมาณวิตามินดีที่ร่างกายต้องการวันละ 800 IU เพื่อรักษาระดับของวิตามินดีในกระแสเลือดให้อยู่ที่ 30 ng/ml หรือสูงกว่านี้
การรักษาด้วยยา
- มียามากมายหลายชนิดที่เป็นทางเลือกในการนำมารักษาผู้ป่วยโรคกระดูกพรุน ซึ่งได้แก่ การรักษาด้วยฮอร์โมน selective estrogen receptor modulators ฮอร์โมน calcitonin ยากลุ่ม bisphosphonates และยาที่สร้างมวลกระดูก teriparatide ซึงเป็น recombinant human parathyroid hormone
- โดยทั่วไปยาที่เป็นทางเลือกอันดับแรกในการนำมารักษาโรคกระดูกพรุนคือยาในกลุ่ม bisphosphonates ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นยายับยั้งการทำลายกระดูก โดยออกทธิ์โดยตรงต่อเซลล์ทำลายกระดูก (Osteoclast) ออกฤทธิ์มีผลทำให้เกิดกระบวนการ apoptosis ของเซลล์ osteoclast มีผลทำให้จำนวน และการทำงานของเซลล์ osteoclast ลดลง ซึ่งยากลุ่ม Bisphosphonates ที่มีการใช้ได้แก่
Risedronate 35 มิลลิกรัม รับประทานสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
Ibandronate 150 มิลลิกรัม รับประทานสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
Zoledronic acid 5 มิลลิกรัมโดยให้ยาผ่านเข้าทางเส้นเลือด โดยให้ปีละ 1 ครั้ง
- ยา Teriparatide เป็นยาเพียงชนิดเดียวที่มีผลในการกระตุ้นการสร้างกระดูกในการรักษาโรคกระดูกพรุน ซึ่งยานี้ประกอบด้วยaminoterminal portionของ human parathyroid hormone molecule (1-34) เมื่อให้ยานี้ฉีดเข้าใต้ผิวหนังวันละ 1 ครั้ง จะมีผลในการรกระตุ้นทั้งกระบวนการการสร้างกระดูก และกระบวนการทำลายกระดู แต่ผลโดยรวมจะเกิดการสร้างกระดูกมากกว่าการทำลายกระดูก
การพยากรณ์โรค
การรักษาด้วยยาในกลุ่ม bisphosphonates และยา teriparatide สามารถช่วยลดอุบัติการณ์ในการเกิดกระดูกหักที่บริเวณกระดูกสันหลังได้ร้อยละ 40 – 70 และลดอุบัติการณ์การเกิดกระดูกสะโพกหักได้ร้อยละ 30 – 50 ในผู้ป่วยที่มีประวัติการเกิดกระดูกหักและไม่ได้รับการรักษาประมาณร้อยละ 50 จะมีโอกาสเกิดกระดูกหักครั้งที่สอง ภายใน 2 – 3 ปีข้างหน้าข้อเพิ่มเติม
การเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดมีความจำเป็น เพื่อประเมินการปฏิบัติตน และการรับประทานยาของผู้ป่วย รวมทั้งการตอบสนองต่อการรักษา ซึ่งมีผลต่อการรักษาโรคกระดูกพรุนการตรวจวัดหาค่าความหนาแน่นกระดูฏควรกระทำทุก 1 ปีหลังจากที่เริ่มให้การรักษา ถ้าตรวจพบว่าผู้ป่วยตอบสนองดีต่อการรักษาเช่น มีการเพิ่มขึ้นของค่าความหนาแน่นของมวลกระดูก และไม่เกิดภาวะกระดูกหัก การตรวจหาค่าความหนาแน่นกระดูกอาจจะทำทุก 2 ปีก็ได้
สำหรับผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาควรจะต้องทำการตรวจหาสาเหตุว่ามีโรคอื่นๆ ที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคกกระดูกพรุนอีกครั้ง (secondary osteoporosis)
คำแนะนำสำหรับผู้ป่วย
แจ้งให้ผู้ป่วยทราบว่าโรคกระดูกพรุนเป็นโรคเรื้อรังที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาและการเฝ้าติดตามอย่างต่อเนื่อง แลระยะเวลานาน
ความสำเร็จของการรักษาโรคกระดูกพรุนขึ้นอยู่กับการปรับเปลี่ยนวิ๔การดำเนินชีวิต การรับประทานอาหาร และการรับประทานยาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ
ข้อบ่งชี้ในการตรวจวัดความหนาแน่นกระดูก
- ผู้หญิงทุกคนที่อายุมากกว่า 65 ปี โดยไม่ต้องมีปัจจัยเสี่ยง
- ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนแล้วมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน
- ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนได้รับการรักษาโรคกระดูกพรุนเพื่อเฝ้าติดตามผลการรักษา
- ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่มาพบแพทย์ด้วยปัญหาเรื่องกระดูกหัก
- ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุน
- ประวัติเคยกระดูกหักหลังจากอายุ 40 ปีจากอุบัติเหตุที่ไม่รุนแรง
- มีประวัติของบิดา มารดาเคยกระดูกหักจากอุบัติเหตุที่ไม่รุนแรง
- ดัชนีมวลกระดูกน้อยกว่า 19
- การสูบบุหรี่
- มีการใช้ยาเสตียรอยด์ชนิดรับประทานนานมากกว่า 3 เดือน
- ประจำเดือนหมดวัยก่อนอายุ 45 ปี
- ผู้หญิงที่รับการรักษาโดยการผ่าตัดเอารังไข่ออก
- ดื่มสุรา
- รับประทานแคลเซียมน้อย
- สายตา การมองเห็นไม่ดี
- โรคสมองเสื่อม (Dementia)
- มีประวัติการหกล้มบ่อย
- มีโรคที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนเช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ
tleerapun@gmail.com , www.taninnit.com , Facebook: Dr.Keng หมอเก่ง,
line ID search : keng3407
วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555
โรคกระดูกพรุน
-->
-->
-->
-->
-->
โรคกระดูกพรุน
“การสูญเสียมวลกระดูกไม่แสดงอาการใดออกมา
ประชาชนทั่วไปมักไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคกระดูกพรุนจนกระทั่งกระดูกอ่อนแอลง
เมื่อได้รับแรงกระแทกเพียงเล็กน้อย หรือหกล้มก็ทำให้เกิดกระดูกหัก”
โรคกระดูกพรุนคืออะไร?
โรคกระดูกพรุน คือ
โรคที่มีการสูญเสียมวลกระดูกอย่างต่อเนื่อง และเสื่อมสลายทางโครงสร้างของกระดูกทำให้กระดูกบางลง
มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เกิดกระดูกหักได้ง่าย
โรคนี้ค่อยๆเกิดขึ้นเป็นระยะเวลานาน
มักไม่ค่อยแสดงอาการจนกระทั่งมีการหักของกระดูกเกิดขึ้น
โรคกระดูกพรุนมีอาการอย่างไร?
โรคกระดูกพรุนมักถูกเรียกว่า “มหันตภัยเงียบ”
เนื่องจากการสูญเสียมวลกระดูกไม่แสดงอาการใดออกมา ประชาชนทั่วไปมักไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคกระดูกพรุนจนกระทั่งกระดูกอ่อนแอลง
เมื่อได้รับแรงกระแทกเพียงเล็กน้อย
หรือหกล้มก็ทำให้เกิดกระดูกหักได้ง่ายโดยเฉพาะกระดูกบริเวณสะโพก, กระดูกสันหลัง,
และกระดูกบริเวณข้อมือผู้ป่วยอาจจะมีอาการปวดมากจนกระทั่งไม่สามารถทำงานและทำกิจวัตรประจำวันได้
เมื่อกระดูกสันหลังหัก หรือยุบลงมาผู้ป่วยจะมีอาการปวดหลังอย่างรุนแรง, ตัวเตี้ย,
หลังค่อม
อะไรเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน ?
สาเหตุที่แท้จริงของโรคกระดูกพรุนไม่ทราบแน่นอน
อย่างไรก็ตามปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนได้แก่ เพศหญิง,
ประจำเดือนหมดก่อนวัยอันควร หรือได้รับการผ่าตัดเอารังไข่ออก,
ได้รับอาหารที่มีแคลเซียมต่ำ, สูบบุหรี่, ดื่มสุราและกาแฟมาก, ได้รับยาสเตียรอยด์,
ยารักษาโรคไทรอยด์, เป็นโรครูมาตอยด์
พบว่า 50% ของผู้หญิงที่อายุมากกว่า 50 ปีเกิดกระดูกหักเนื่องจากโรคกระดูกพรุน
ทราบได้อย่างไรว่าเป็นโรคกระดูกพรุนหรือไม่?
แพทย์สามารถตรวจความหนาแน่นของมวลกระดูกโดยใช้เครื่องเอกซเรย์(DEXA)วัดความหนาแน่นของมวลกระดูกที่สะโพก,
กระดูกสันหลัง, และกระดูกข้อมือ
ซึ่งเป็นวิธีการวัดมวลกระดูกด้วยเทคนิคพิเศษโดยใช้รังสีจำนวนน้อยเพื่อหาปริมาณของมวลกระดูก
มีวิธีป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุนอย่างไร?
การป้องกันไม่ให้เกิดโรคกระดูกพรุนเป็นวิธีการที่ดีที่สุด
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกระดูกหัก โดย
·
หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่ทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน
·
รับประทานแคลเซียม
ให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายเพื่อช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก
โดยมีความต้องการที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงอายุคือ
o เพศชายและเพศหญิงอายุ
9-18 ปี ต้องการแคลเซียม 1,300 มิลลิกรัมต่อวัน
o เพศชายและเพศหญิงอายุ19-50
ปี ต้องการแคลเซียม 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน
o ผู้หญิงตั้งครรภ์
และให้นมบุตรต้องการแคลเซียม 1,300 มิลลิกรัมต่อวัน
o เพศชายและเพศหญิงอายุมากกว่า
50 ปี ต้องการแคลเซียม 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน
o อาหารที่มีแคลเซียมสูงได้แก่
โยเกิร์ต, นม 1 แก้ว(250 cc) มีแคลเซียม
300มก., ปลากระป๋อง, ผักบร๊อคเคอรี่, ผักใบเขียว
·
วิตามินดี ร่างกายต้องการวิตามินดีวันละ 200-600iu
·
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายช่วยลดการสูญเสียมวลกระดูกเช่น การเดิน, การวิ่ง, การวิ่งบนสายพาน
การรำมวยไท้เก๊กเป็นการช่วยฝึกความสมดุลของร่างกายเพื่อป้องกันไม่ให้หกล้มได้ง่าย
ถ้าเป็นโรคกระดูกพรุนแล้วมีวิธีการรักษาอย่างไร?
เมื่อเกิดโรคกระดูกพรุนแล้วก็มีการใช้ยาในการรักษาเพื่อชลอการสูญเสียมวลกระดูกไม่ให้เกิดมากขึ้น
และลดอัตราการเกิดกระดูกหัก
ปัจจุบันยาที่ใช้ในการรักษาได้แก่ แคลเซียม, วิตามินดี, วิตามินเค,
ยาคัลซิโทนิน(calcitonin), ยากลุ่มบิสฟอสโฟเนท(bisphosphonate),
ยาฉีดกระตุ้นการสร้างกระดูก (parathyroid hormone) ร่วมกับการบริหารร่างกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ,
ฝึกสมดุลของร่างกายก็จะช่วยลดอุบัติการของการเกิดกระดูกหักได้
แบบทดสอบปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน
1.บิดามารดามีประวัติกระดูกสะโพกหักจากอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อย
หรือไม่
2.ตัวท่านมีประวัติกระดูกหัก
จากอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อย หรือ
ไม่
3.ได้รับยาจำพวกสเตอรอยด์มานานกว่า 3เดือน
หรือไม่
4.มีส่วนสูงลดลงจากเดิมมากกว่า3ซม.หรือไม่
5.ดื่มสุรามากกว่าปรกติหรือไม่
6.สูบบุหรี่มากกว่า 20มวนต่อวัน
หรือไม่
7.
มีปัญหาท้องเดินหรือท้องร่วงเป็นประจำหรือไม่
8.ประจำเดือนหมดก่อนอายุ 45
ปีหรือไม่
9.ประจำเดือนไม่มาตามปรกติเกินกว่า 12
เดือนหรือไม่ (ยกเว้นในรายที่ตั้งครรภ์)
10.สำหรับสุภาพบุรุษ : ความต้องการทางเพศลดลงหรือเสื่อมสมรรถภาพทางเพศหรือไม่
กระดูกหลังโก่ง เนื่องมาจากกระดูกพรุนและมีการยุบของกระดูกสันหลัง |
กระดูกหลังโก่ง เนื่องจากกระดูกสันหลังยุบ |
ภาพเอกซเรย์แสดงกระดูกสันหลังทรุด เนื่องจากโรคกระดูกพรุน |
ภาพเอกซเรย์แสดงกระดูกสะโพกหักทั้ง 2 ข้าง |
ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ ภาควิชาออร์โทปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
tleerapun@gmail.com , www.taninnit.com , Facebook: Dr.Keng หมอเก่ง,
line ID search : keng3407
tleerapun@gmail.com , www.taninnit.com , Facebook: Dr.Keng หมอเก่ง,
line ID search : keng3407
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)