โรคกระดูกพรุน
“การสูญเสียมวลกระดูกไม่แสดงอาการใดออกมา
ประชาชนทั่วไปมักไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคกระดูกพรุนจนกระทั่งกระดูกอ่อนแอลง
เมื่อได้รับแรงกระแทกเพียงเล็กน้อย หรือหกล้มก็ทำให้เกิดกระดูกหัก”
โรคกระดูกพรุนคืออะไร?
โรคกระดูกพรุน คือ
โรคที่มีการสูญเสียมวลกระดูกอย่างต่อเนื่อง และเสื่อมสลายทางโครงสร้างของกระดูกทำให้กระดูกบางลง
มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เกิดกระดูกหักได้ง่าย
โรคนี้ค่อยๆเกิดขึ้นเป็นระยะเวลานาน
มักไม่ค่อยแสดงอาการจนกระทั่งมีการหักของกระดูกเกิดขึ้น
โรคกระดูกพรุนมีอาการอย่างไร?
โรคกระดูกพรุนมักถูกเรียกว่า “มหันตภัยเงียบ”
เนื่องจากการสูญเสียมวลกระดูกไม่แสดงอาการใดออกมา ประชาชนทั่วไปมักไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคกระดูกพรุนจนกระทั่งกระดูกอ่อนแอลง
เมื่อได้รับแรงกระแทกเพียงเล็กน้อย
หรือหกล้มก็ทำให้เกิดกระดูกหักได้ง่ายโดยเฉพาะกระดูกบริเวณสะโพก, กระดูกสันหลัง,
และกระดูกบริเวณข้อมือผู้ป่วยอาจจะมีอาการปวดมากจนกระทั่งไม่สามารถทำงานและทำกิจวัตรประจำวันได้
เมื่อกระดูกสันหลังหัก หรือยุบลงมาผู้ป่วยจะมีอาการปวดหลังอย่างรุนแรง, ตัวเตี้ย,
หลังค่อม
อะไรเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน ?
สาเหตุที่แท้จริงของโรคกระดูกพรุนไม่ทราบแน่นอน
อย่างไรก็ตามปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนได้แก่ เพศหญิง,
ประจำเดือนหมดก่อนวัยอันควร หรือได้รับการผ่าตัดเอารังไข่ออก,
ได้รับอาหารที่มีแคลเซียมต่ำ, สูบบุหรี่, ดื่มสุราและกาแฟมาก, ได้รับยาสเตียรอยด์,
ยารักษาโรคไทรอยด์, เป็นโรครูมาตอยด์
พบว่า 50% ของผู้หญิงที่อายุมากกว่า 50 ปีเกิดกระดูกหักเนื่องจากโรคกระดูกพรุน
ทราบได้อย่างไรว่าเป็นโรคกระดูกพรุนหรือไม่?
แพทย์สามารถตรวจความหนาแน่นของมวลกระดูกโดยใช้เครื่องเอกซเรย์(DEXA)วัดความหนาแน่นของมวลกระดูกที่สะโพก,
กระดูกสันหลัง, และกระดูกข้อมือ
ซึ่งเป็นวิธีการวัดมวลกระดูกด้วยเทคนิคพิเศษโดยใช้รังสีจำนวนน้อยเพื่อหาปริมาณของมวลกระดูก
มีวิธีป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุนอย่างไร?
การป้องกันไม่ให้เกิดโรคกระดูกพรุนเป็นวิธีการที่ดีที่สุด
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกระดูกหัก โดย
·
หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่ทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน
·
รับประทานแคลเซียม
ให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายเพื่อช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก
โดยมีความต้องการที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงอายุคือ
o เพศชายและเพศหญิงอายุ
9-18 ปี ต้องการแคลเซียม 1,300 มิลลิกรัมต่อวัน
o เพศชายและเพศหญิงอายุ19-50
ปี ต้องการแคลเซียม 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน
o ผู้หญิงตั้งครรภ์
และให้นมบุตรต้องการแคลเซียม 1,300 มิลลิกรัมต่อวัน
o เพศชายและเพศหญิงอายุมากกว่า
50 ปี ต้องการแคลเซียม 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน
o อาหารที่มีแคลเซียมสูงได้แก่
โยเกิร์ต, นม 1 แก้ว(250 cc) มีแคลเซียม
300มก., ปลากระป๋อง, ผักบร๊อคเคอรี่, ผักใบเขียว
·
วิตามินดี ร่างกายต้องการวิตามินดีวันละ 200-600iu
·
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายช่วยลดการสูญเสียมวลกระดูกเช่น การเดิน, การวิ่ง, การวิ่งบนสายพาน
การรำมวยไท้เก๊กเป็นการช่วยฝึกความสมดุลของร่างกายเพื่อป้องกันไม่ให้หกล้มได้ง่าย
ถ้าเป็นโรคกระดูกพรุนแล้วมีวิธีการรักษาอย่างไร?
เมื่อเกิดโรคกระดูกพรุนแล้วก็มีการใช้ยาในการรักษาเพื่อชลอการสูญเสียมวลกระดูกไม่ให้เกิดมากขึ้น
และลดอัตราการเกิดกระดูกหัก
ปัจจุบันยาที่ใช้ในการรักษาได้แก่ แคลเซียม, วิตามินดี, วิตามินเค,
ยาคัลซิโทนิน(calcitonin), ยากลุ่มบิสฟอสโฟเนท(bisphosphonate),
ยาฉีดกระตุ้นการสร้างกระดูก (parathyroid hormone) ร่วมกับการบริหารร่างกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ,
ฝึกสมดุลของร่างกายก็จะช่วยลดอุบัติการของการเกิดกระดูกหักได้
แบบทดสอบปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน
1.บิดามารดามีประวัติกระดูกสะโพกหักจากอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อย
หรือไม่
2.ตัวท่านมีประวัติกระดูกหัก
จากอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อย หรือ
ไม่
3.ได้รับยาจำพวกสเตอรอยด์มานานกว่า 3เดือน
หรือไม่
4.มีส่วนสูงลดลงจากเดิมมากกว่า3ซม.หรือไม่
5.ดื่มสุรามากกว่าปรกติหรือไม่
6.สูบบุหรี่มากกว่า 20มวนต่อวัน
หรือไม่
7.
มีปัญหาท้องเดินหรือท้องร่วงเป็นประจำหรือไม่
8.ประจำเดือนหมดก่อนอายุ 45
ปีหรือไม่
9.ประจำเดือนไม่มาตามปรกติเกินกว่า 12
เดือนหรือไม่ (ยกเว้นในรายที่ตั้งครรภ์)
10.สำหรับสุภาพบุรุษ : ความต้องการทางเพศลดลงหรือเสื่อมสมรรถภาพทางเพศหรือไม่
กระดูกหลังโก่ง เนื่องมาจากกระดูกพรุนและมีการยุบของกระดูกสันหลัง |
กระดูกหลังโก่ง เนื่องจากกระดูกสันหลังยุบ |
ภาพเอกซเรย์แสดงกระดูกสันหลังทรุด เนื่องจากโรคกระดูกพรุน |
ภาพเอกซเรย์แสดงกระดูกสะโพกหักทั้ง 2 ข้าง |
ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ ภาควิชาออร์โทปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
tleerapun@gmail.com , www.taninnit.com , Facebook: Dr.Keng หมอเก่ง,
line ID search : keng3407
tleerapun@gmail.com , www.taninnit.com , Facebook: Dr.Keng หมอเก่ง,
line ID search : keng3407
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น