วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ความเสี่ยงในการเกิดกระดูกหักในผู้ป่วยโรคกระดูกพรุน: รู้ก่อน ป้องกันได้!!!

ความเสี่ยงในการเกิดกระดูกหักในผู้ป่วยโรคกระดูกพรุน: รู้ก่อน ป้องกันได้!!!

โรคกระดูกพรุน หรือที่เราเรียกกันว่า “โรคกระดูกบาง” เป็นภาวะที่กระดูกสูญเสียความหนาแน่นและความแข็งแรง ทำให้กระดูกเปราะบางและเสี่ยงต่อการแตกหักได้ง่าย การเกิดกระดูกหักในผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เพราะการหักของกระดูกสามารถส่งผลกระทบทั้งทางร่างกายและจิตใจ ในบทความนี้ เราจะมาทำความเข้าใจกันว่าทำไมผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุนถึงมีความเสี่ยงที่จะกระดูกหักง่ายขึ้น และเราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อป้องกันความเสี่ยงนี้

ทำไมผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุนถึงมีความเสี่ยงสูงในการเกิดกระดูกหัก?

1. กระดูกที่บางและเปราะบาง

ในภาวะกระดูกพรุน กระดูกของเราจะบางลงเรื่อย ๆ ทำให้ความหนาแน่นและความแข็งแรงของกระดูกลดลง การที่กระดูกบางมากจะทำให้เปราะและแตกหักได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นกระดูกสันหลัง สะโพก หรือแม้กระทั่งข้อมือ การหกล้มหรือกระแทกเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้กระดูกหักได้

2. การหกล้มที่ง่ายขึ้น

ผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุนมักเป็นผู้สูงอายุซึ่งมักจะมีการทรงตัวที่ไม่ดี การเคลื่อนไหวที่ช้าลง รวมถึงความสามารถในการมองเห็นที่ลดลง ทำให้มีโอกาสหกล้มได้ง่าย การหกล้มเพียงครั้งเดียวอาจนำไปสู่การหักของกระดูกสะโพกหรือกระดูกข้อมือได้ ซึ่งอาจส่งผลให้ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

3. การฟื้นตัวที่ยากและช้ากว่าปกติ

เมื่อเกิดกระดูกหัก ผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนมักฟื้นตัวได้ช้ากว่าคนทั่วไป เพราะกระดูกที่อ่อนแอทำให้การซ่อมแซมตัวเองของกระดูกเกิดได้ยาก การหักของกระดูกอาจทำให้เกิดความเจ็บปวดและจำกัดการเคลื่อนไหว จนต้องนอนพักเป็นเวลานาน สิ่งนี้อาจส่งผลให้สุขภาพโดยรวมแย่ลงและเพิ่มความเสี่ยงของภาวะอื่น ๆ ตามมา เช่น ภาวะเสื่อมสภาพของกล้ามเนื้อและข้อต่อ

กระดูกส่วนใดบ้างที่เสี่ยงหักในผู้ป่วยโรคกระดูกพรุน?

1. กระดูกสะโพก

การหักของกระดูกสะโพกเป็นภาวะที่พบบ่อยที่สุดในผู้ป่วยโรคกระดูกพรุน การหักของสะโพกส่งผลกระทบอย่างรุนแรงและอาจต้องเข้ารับการผ่าตัด ซึ่งทำให้ผู้ป่วยบางคนต้องอยู่ในสถานพักฟื้นหรือได้รับการดูแลเป็นพิเศษ

2. กระดูกสันหลัง

กระดูกสันหลังอาจหักได้เองจากการทรุดตัวของกระดูกซึ่งเป็นผลมาจากกระดูกที่บาง การหักของกระดูกสันหลังอาจทำให้เกิดอาการปวดหลังเรื้อรังหรือแม้กระทั่งเสียความสูงเนื่องจากการยุบตัวของกระดูก

3. กระดูกข้อมือ

กระดูกข้อมือมักหักได้ง่ายเมื่อเกิดการล้มและยื่นมือออกมารับน้ำหนัก การหักของกระดูกข้อมืออาจทำให้ผู้ป่วยใช้งานมือได้ลำบากและต้องใช้เวลาในการรักษานาน

วิธีป้องกันความเสี่ยงในการเกิดกระดูกหัก

1. เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง

การรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดีสูง เช่น นม ปลาแซลมอน และผักใบเขียว ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับกระดูกได้ การเสริมวิตามินหรือแคลเซียมตามคำแนะนำของแพทย์ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง

2. ออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อและความสมดุล

การออกกำลังกายแบบเบา ๆ เช่น การเดิน โยคะ หรือการฝึกความสมดุล จะช่วยลดโอกาสการหกล้มและเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่ช่วยพยุงกระดูก

3. ตรวจมวลกระดูกอย่างสม่ำเสมอ

การตรวจมวลกระดูกจะช่วยให้เรารู้สถานะของกระดูกและสามารถปรับแผนการรักษาให้เหมาะสมได้ เช่น การปรับยา การเสริมแคลเซียม หรือการรักษาโรคกระดูกพรุนตามคำแนะนำของแพทย์

4. ปรับสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัย

การลดความเสี่ยงของการหกล้มในบ้าน เช่น การติดตั้งราวจับในห้องน้ำ หลีกเลี่ยงการวางสิ่งของกีดขวาง และใช้ไฟส่องสว่างที่เพียงพอในบ้าน จะช่วยลดโอกาสการหกล้มได้

สรุป

การเกิดกระดูกหักในผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนเป็นสิ่งที่อาจทำให้เกิดความเจ็บปวดและส่งผลต่อคุณภาพชีวิต แต่เราสามารถลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้ด้วยการดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย ตรวจมวลกระดูก และปรับสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัย การป้องกันความเสี่ยงในการเกิดกระดูกหักจะช่วยให้เราใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและแข็งแรง

“ดูแลกระดูกให้แข็งแรง ตั้งแต่วันนี้ เพื่อสุขภาพที่ยั่งยืนในวันหน้า”

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2567

คนไทยต้องการแคลเซียมวันละเท่าไหร่? จำเป็นต้องทานแคลเซียมเม็ดไหม?

คนไทยต้องการแคลเซียมวันละเท่าไหร่? จำเป็นต้องทานแคลเซียมเม็ดไหม?


แคลเซียมเป็นแร่ธาตุสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง หลายคนอาจสงสัยว่า เราควรได้รับแคลเซียมวันละเท่าไหร่ และจำเป็นต้องทานแคลเซียมในรูปแบบเม็ดเสริมหรือเปล่า? มาดูคำตอบกัน!


คนไทยต้องการแคลเซียมวันละเท่าไหร่?


• ผู้ใหญ่ทั่วไป: ต้องการแคลเซียมประมาณ 800-1,000 มิลลิกรัมต่อวัน

• ผู้สูงอายุ (โดยเฉพาะผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนและผู้ชายอายุ 50 ปีขึ้นไป): ควรได้รับ 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน

• เด็กและวัยรุ่น: ช่วงอายุที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโต ต้องการแคลเซียมมากขึ้น ประมาณ 1,000-1,300 มิลลิกรัมต่อวัน


เราจะได้รับแคลเซียมจากไหนบ้าง?


ส่วนใหญ่เราได้รับแคลเซียมจากอาหาร เช่น นม โยเกิร์ต เต้าหู้ ปลาตัวเล็กตัวน้อย และผักใบเขียว การทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงเป็นประจำก็เพียงพอที่จะทำให้กระดูกแข็งแรงได้


จำเป็นต้องทานแคลเซียมเม็ดหรือเปล่า?


จริงๆ แล้ว ไม่จำเป็นเสมอไป ที่ต้องทานแคลเซียมเม็ดเสริม ถ้าคุณสามารถทานอาหารที่มีแคลเซียมได้เพียงพอในแต่ละวัน แต่ในบางกรณี เช่น ผู้ที่มีปัญหาในการดูดซึมแคลเซียม หรือผู้ที่ไม่สามารถรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมเพียงพอ แพทย์อาจแนะนำให้ทานแคลเซียมเม็ดเสริม


ถ้าทานมากเกินไปจะเป็นอันตรายหรือไม่?


การทานแคลเซียมมากเกินไป อาจทำให้เกิดปัญหา เช่น นิ่วในไต หรือการสะสมแคลเซียมในหลอดเลือด ดังนั้นควรทานในปริมาณที่เหมาะสม และถ้าคิดว่าจะต้องทานเสริม ควรปรึกษาแพทย์ก่อน


สรุป:


• ถ้าคุณทานอาหารที่มีแคลเซียมเพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องทานแคลเซียมเม็ดเสริม

• การทานแคลเซียมเม็ดเสริมควรทำเมื่อมีข้อจำกัดทางอาหารหรือมีความเสี่ยงสูงตามคำแนะนำของแพทย์


#แคลเซียม #สุขภาพกระดูก #กระดูกแข็งแรง #อาหารเสริมแคลเซียม”


ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

 https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

โทร 0815303666

 



#แคลเซียม #อาหารเสริมแคลเซียม #สุขภาพกระดูก #กระดูกแข็งแรง #แคลเซียมเม็ด


มาดูแลกระดูกด้วยการทานอาหารที่มีประโยชน์ เพียงพอต่อความต้องการแคลเซียมของร่างกาย!

วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ถ้าพ่อแม่กระดูกหักจากกระดูกพรุน เราทานแคลเซียมเลย จะช่วยป้องกันกระดูกหักได้ไหม?

ถ้าพ่อแม่กระดูกหักจากกระดูกพรุน เราทานแคลเซียมเลย จะช่วยป้องกันกระดูกหักได้ไหม?

ถ้าพ่อแม่ของคุณเคยกระดูกหักจาก โรคกระดูกพรุน หลายคนอาจจะกังวลและคิดว่า “เราจะเป็นเหมือนพ่อแม่ไหม?” แล้วถ้าเริ่มทานแคลเซียมทันที จะช่วยป้องกันกระดูกหักได้หรือเปล่า? มาดูคำตอบกัน!

ถ้าพ่อแม่กระดูกหักจากโรคกระดูกพรุน เราจะเสี่ยงไหม?

คำตอบคือ ใช่ ถ้ามีคนในครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุนและมีกระดูกหัก คุณก็อาจมีความเสี่ยงมากขึ้น เนื่องจากปัจจัยทางพันธุกรรมมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะเราสามารถลดความเสี่ยงนี้ได้ด้วยการดูแลตัวเองให้ดีตั้งแต่เนิ่นๆ

การทานแคลเซียมช่วยป้องกันกระดูกหักได้ไหม?

แคลเซียม ช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงได้ แต่การทานแคลเซียมเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในการป้องกันกระดูกหัก คุณควรปฏิบัติตามวิธีอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น:

1. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกาย เช่น การเดิน การวิ่ง หรือการยกน้ำหนักเบาๆ ช่วยเสริมสร้างกระดูกและกล้ามเนื้อให้แข็งแรงขึ้น

2. รับวิตามินดี: วิตามินดีช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น ลองออกไปสัมผัสแสงแดดอ่อนๆ ในตอนเช้าหรือทานอาหารที่มีวิตามินดีสูง เช่น ปลา ไข่แดง

3. ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต: เลิกสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากสิ่งเหล่านี้ทำให้กระดูกเสื่อมเร็วขึ้น

4. ตรวจสุขภาพกระดูก: หากคุณมีความเสี่ยงสูง เช่น มีคนในครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจความหนาแน่นของกระดูกเป็นประจำ

สรุป:

การทานแคลเซียมเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน แต่การดูแลสุขภาพกระดูกควรทำร่วมกับการออกกำลังกาย การรับวิตามินดี และการดูแลสุขภาพโดยรวม จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดกระดูกหักได้มากที่สุด

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

#แคลเซียม #กระดูกพรุน #ป้องกันกระดูกหัก #สุขภาพกระดูก #กระดูกแข็งแรง

มาดูแลกระดูกให้แข็งแรงตั้งแต่วันนี้ เริ่มต้นง่ายๆ จากตัวคุณเอง!

วันพุธที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2567

โรคประจำตัวอะไรบ้างที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน?

โรคประจำตัวอะไรบ้างที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน?

นอกจากอายุและพฤติกรรมการใช้ชีวิตแล้ว ยังมี โรคประจำตัวบางชนิด ที่สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิด โรคกระดูกพรุน ได้โดยที่หลายคนอาจไม่รู้ตัว มาดูกันว่าโรคไหนบ้างที่ต้องระวัง!

โรคประจำตัวที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน:

1. โรคไทรอยด์

คนที่มีภาวะไทรอยด์ทำงานมากเกินไป (Hyperthyroidism) จะทำให้การเผาผลาญในร่างกายสูงขึ้น ซึ่งมีผลทำให้กระดูกบางลงได้เร็วขึ้น

2. โรคเบาหวาน

ผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 และ 2 มีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรคกระดูกพรุน เนื่องจากฮอร์โมนอินซูลินที่ไม่สมดุลอาจส่งผลกระทบต่อการสร้างกระดูก

3. โรคลำไส้และการดูดซึมผิดปกติ

ผู้ที่มีปัญหาโรคลำไส้ เช่น โรคลำไส้อักเสบ หรือภาวะดูดซึมสารอาหารผิดปกติ จะมีปัญหาในการดูดซึมแคลเซียมและวิตามินดี ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างกระดูก

4. โรคตับและไตเรื้อรัง

ตับและไตมีบทบาทในการควบคุมระดับแคลเซียมในร่างกาย หากมีความผิดปกติในตับหรือไต จะส่งผลต่อการดูดซึมแคลเซียมและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดกระดูกพรุน

5. โรคข้ออักเสบเรื้อรัง (Rheumatoid Arthritis)

การอักเสบที่เรื้อรังทำให้กระดูกเสื่อมได้เร็วขึ้น รวมถึงการใช้ยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์ ที่ใช้รักษาโรคข้ออักเสบ ก็เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดกระดูกพรุนเช่นกัน

6. โรคระบบฮอร์โมนผิดปกติ

ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับฮอร์โมน เช่น โรคคุชชิง (Cushing’s syndrome) ที่เกิดจากการมีฮอร์โมนคอร์ติซอลในร่างกายมากเกินไป จะทำให้กระดูกเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว

ทำอย่างไรเมื่อมีโรคประจำตัว?

หากคุณมีโรคประจำตัวเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการดูแลกระดูก เช่น การเสริมแคลเซียมและวิตามินดี การออกกำลังกายที่เหมาะสม และการตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก (Bone Density Test) เป็นประจำ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

#กระดูกพรุน #โรคประจำตัว #ป้องกันกระดูกพรุน #สุขภาพกระดูก #กระดูกแข็งแรง

มาดูแลสุขภาพกระดูกให้แข็งแรงตั้งแต่วันนี้ ป้องกันก่อนที่จะสายเกินไป!

วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ยารักษาโรคกระดูกพรุน: มีกี่กลุ่ม อะไรบ้าง และกลไกการออกฤทธิ์

ยารักษาโรคกระดูกพรุน: มีกี่กลุ่ม อะไรบ้าง และกลไกการออกฤทธิ์

โรคกระดูกพรุนเป็นปัญหาสุขภาพที่ส่งผลกระทบต่อความแข็งแรงของกระดูก ทำให้กระดูกบางและแตกหักง่าย การรักษาโรคกระดูกพรุนมีหลายวิธี หนึ่งในนั้นคือการใช้ยา ซึ่งยารักษาโรคกระดูกพรุนสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้

1. ยากลุ่มยับยั้งการสลายกระดูก (Anti-resorptive agents)

กลไกของยากลุ่มนี้คือ การลดหรือยับยั้งการทำงานของเซลล์สลายกระดูก (Osteoclasts) ทำให้กระดูกไม่ถูกทำลายหรือถูกสลายน้อยลง กลุ่มยาที่ใช้บ่อยได้แก่:

• บิสฟอสโฟเนต (Bisphosphonates): เช่น อะเลนโดรเนต (Alendronate), ริเซดรอเนต (Risedronate), และโซเลดรอเนต (Zoledronate) ยากลุ่มนี้ช่วยลดการสลายกระดูกและเพิ่มความแข็งแรงของกระดูก ลดความเสี่ยงในการเกิดกระดูกหักได้อย่างมีประสิทธิภาพ

• เอสโตรเจน (Estrogen): สำหรับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ยาเอสโตรเจนช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก เนื่องจากเอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างและรักษาความแข็งแรงของกระดูก แต่มีข้อควรระวังเกี่ยวกับผลข้างเคียงต่อหัวใจและหลอดเลือด

• Selective Estrogen Receptor Modulators (SERMs): ยากลุ่มนี้ เช่น ราลอกซิฟีน (Raloxifene) มีการออกฤทธิ์คล้ายเอสโตรเจนในการปกป้องกระดูก แต่ไม่ส่งผลต่อเนื้อเยื่ออื่นๆ ในร่างกายเช่น มดลูกและเต้านม

• RANK ligand inhibitors: ยาเดนูซูแมบ (Denosumab) ยานี้ทำงานโดยการยับยั้งการทำงานของโปรตีนที่กระตุ้นการทำลายกระดูก ทำให้กระดูกเสื่อมช้าลง

2. ยากลุ่มกระตุ้นการสร้างกระดูก (Anabolic agents)

กลไกของยากลุ่มนี้คือการกระตุ้นการทำงานของเซลล์สร้างกระดูก (Osteoblasts) ทำให้กระดูกถูกสร้างขึ้นใหม่และเพิ่มความแข็งแรงของกระดูก กลุ่มยาที่ใช้ได้แก่:

• Teriparatide (PTH 1-34): เป็นฮอร์โมนสังเคราะห์ที่คล้ายกับฮอร์โมนพาราไทรอยด์ ยานี้ช่วยกระตุ้นการสร้างกระดูกใหม่ เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่กระดูกพรุนอย่างรุนแรงหรือผู้ที่มีกระดูกหักบ่อยครั้ง

• Romosozumab: ยาตัวนี้ช่วยกระตุ้นการสร้างกระดูกใหม่และลดการสลายกระดูกในเวลาเดียวกัน ทำให้กระดูกมีความหนาแน่นมากขึ้น

ความแตกต่างและการเลือกใช้ยา

การเลือกใช้ยารักษาโรคกระดูกพรุนขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น อายุ เพศ ระดับความรุนแรงของโรค และความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหัก การรักษาในระยะเริ่มแรกมักใช้ยากลุ่มยับยั้งการสลายกระดูก แต่หากผู้ป่วยมีกระดูกพรุนขั้นรุนแรง อาจพิจารณาใช้ยากลุ่มกระตุ้นการสร้างกระดูก

ข้อแนะนำ: การใช้ยารักษาโรคกระดูกพรุนควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เนื่องจากยาแต่ละชนิดมีข้อดี ข้อเสีย และผลข้างเคียงที่แตกต่างกัน การปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเหมาะสมในการใช้ยาจะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพและปลอดภัย

การป้องกันและการรักษาโรคกระดูกพรุนอย่างเหมาะสม เป็นสิ่งสำคัญ การเลือกใช้ยาที่ถูกต้องและเหมาะสมจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดกระดูกหักและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้อย่างมาก

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

บรรยายโรคกระดูกพรุน

บรรยายโรคกระดูกพรุนสำหรับนักศึกษาแพทย์ แพทย์ และบุคคลที่สนใจ







วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ความสัมพันธ์ของโรคปวดหลัง และกระดูกพรุน

กรณีศึกษาน่าสนใจในผู้สูงอายุที่มาพบแพทย์ด้วยอาการปวดหลัง

เพื่อความเข้าใจของคนทั่วไปเกี่ยวกับเรื่องโรคกระดูกพรุน ผมอยากจะอธิบายให้ฟังดังรายละเอียดดังนี้ครับ ปัญหาโรคกระดูกพรุนคือ ภาวะที่ผู้ป่วยมีปริมาณความหนาแน่นของมวลกระดูกลดลง โครงสร้างภายในของกระดูกมีการเสื่อมสลายทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักได้ง่ายมากขึ้นกว่าคนปกติ
โดยทั่วไปอาการแสดงของผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนมักจะมี 2 ระยะคือ
1. ในระยะเริ่มต้นที่มวลกระดูกเริ่มลดลงเรื่อยๆ ผู้ป่วยมักจะไม่มีอาการอะไรเลย ส่วนใหญ่มักจะเริ่มต้นในผู้หญิงที่เริ่มหมดประจำเดือน และมีปัจจัยเสี่ยง ช่วงนี้สามารถตรวจสอบได้จากการวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกเท่านั้น
2. ในระยะที่กระดูกพรุนชนิดรุนแรง คือ มีกระดูกโปร่งบางมาก ร่วมกับมีกระดูกสันหลังหักยุบ หรือการเกิดกระดูกสะโพกหัก ซึ่งผู้ป่วยมักจะมีอาการปวดหลัง หลังโก่งค่อม และสังเกตได้ว่าส่วนสูงของผู้ป่วยลดลง ในบางครั้งอาการปวดหลังอาจจะร้าวมาที่บริเวณหน้าอก หลังโก่ง ทานข้าวได้น้อยลง อืดท้องแน่นท้อง มักจะพบได้ในผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป บางครั้งอาจเกิดกระดูกหักที่ตำแหน่งบริเวณข้อมือ กระดูกหักง่าย ปวดเมื่อยตามร่างกาย เช่นในผู้ป่วยรายที่ผมจะยกตัวอย่างต่อไปนี้ครับ

ภาพของผู้ป่วยที่มีหลังโก่งเนื่องจากมีการยุบตัวของกระดูกสันหลัง

นอกจากหลังโก่ง ผู้ป่วยยังมีอาการปวดหลัง ร่วมกับอาการปวดร้าวลงขา ลงน่องและชาบริเวณหลังเท้าร่วมด้วย





ภาพรังสีแสดงการยุบของกระดูกสันหลังหลายระดับ วิธีการดูคือจะสังเกตจากความสูงของกระดูกสันหลังเทียบกันในแต่ละระดับจะพบว่าส่วนของกระดูกสันหลังที่ยุบลงนั้นจะมีความสูงของกระดูกสันหลังลดลงเมื่อเทียบกับกระดูกสันหลังที่อยู่ติดกัน


ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในการเกิดโรคกระดูกพรุนได้แก่
  • ประจำเดือนหมดวัยกว่าปกติโดยเฉพาะก่อนอายุ  45 ปี 
  • มีโรคประจำตัวเช่น ข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคไทรอยด์เป็นพิษ 
  • ใช้ยาสเตียรอยด์เป็นประจำในปริมาณมาก และต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ทั้งในการรักษาโรค หรือรับประทานเอง
  • มีประวัติครอบครัวทางแม่เคยเป็นโรคกระดูกพรุน หรือเคยมีกระดูกสะโพกหักในครอบครัว โดยเฉพาะครอบครัวฝั่งของมารดา 
  • สูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอลเป็นประจำ 
  • กระดูกหักง่ายหลังจากอายุ 40 ปี 
สำหรับการป้องกันโรคกระดูกพรุนได้แก่
  • ในวัยเด็ก วัยรุ่น ให้ดื่มนม ออกกำลังกายให้เหมาะสม
  • หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงเช่น การดื่มสุรา และการสูบบุหรี่ 
  •  ในวัยที่อายุมากกว่า 40 ปี ให้ได้รับปริมาณของแคลเซียมให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ซึ่งอาจรับประทานแคลเซียมชนิดเม็ดเช่น caltrate 600 มิลลิกรัม รับประทานวันละ 1 เม็ด ก็จะเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เนื่องจากมีการวิจัยพบว่าโดยเฉลี่ย คนไทยได้ปริมาณแคลเซียมจากอาหารประมาณ 300 - 400 มิลลิกรัม ซึ่งถ้าได้รับแคลเซียมเสริมเข้าไปก็จะทำให้เท่ากับปริมาณพอเพียงที่ร่างกายต้องการ 
  • ในผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 65 ปีแนะนำให้ไปตรวจวัดมวลกระดูกจากเครื่องใหญ่ที่เรียกว่า DEXA (Dual Energy absorptiometry) ซึ่งจะตรวจวัดมวลกระดูก 2 ตำแหน่งคือ ที่บริิเวณกระดูกสันหลังส่วนเอว และ กระดูกสะโพก 
  • ในผู้หญิงที่หมดประจำเดือนร่วมกับมีปัจจัยเสี่ยงแนะนำให้ตรวจวัดมวลกระดูกได้เลย เพื่อประเมินสภาพของมวลกระดูกในขณะนั้นว่าเป็นอย่างไร 
หลังจากที่เราตรวจวัดมวลกระดูกมาแล้ว ไม่ใช่ว่าเมื่อมวลกระดูกติดลบน้อยกว่า  - 2.5 จะมีความจำเป็นต้องทานยาป้องกันกระดูกพรุนทุกครั้ง ซึ่งมักจะทำให้เกิดการรักษาโรคกระดูกพรุนมากเกินความจำเป็น  (Over-treament)  วัตถุประสงค์ของการให้ยารักษาโรคกระดูกพรุนคือ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกระดูกหักในอนาคต หรือลดความเสี่ยงของการเกิดกระดูกหักในอนาคต ซึ่งเราจำเป็นต้องมีการคำนวณความเสี่ยงของการเกิดกระดูกหักในอนาคตของผู้ป่วยในแต่ละราย ซึ่งเราสารถเข้าไปประเมินความเสี่ยงของการเกิดกระดูกหักในแต่ละบุคคลได้ใน http://www.shef.ac.uk/FRAX/tool.aspx?country=57  ซึ่งเป็นเครื่องมือประเมินความเสี่ยงของการเกิดกระดูกหักจากองค์การอนามัยโรค ซึ่งเป็นข้อมูลพื้นฐานของคนไทย ซึ่งจะช่วยทำให้ท่านสามารถประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักในแต่ละบุคคลได้ ดังนั้นการตัดสินใจพิจารณาในการให้ยารักษาโรคกระดูกพรุน เราจะพิจารณาจากความสเี่ยงในการที่จะเกิดกระดูกหักภายใน 10 ปีข้างหน้า ซึ่งถ้าคำนวณออกมาแล้วพบว่า
1.กระดูกตำแหน่งที่สำคัญหัก มีโอกาสหักมากกว่าร้อยละ 20 หรือ
2. กระดูกสะโพก มีโอกาสหักมากกว่าร้อยละ 3   
จึงจะพิจารณาในการให้ยาในการรักษาโรคกระดูกพรุน ซึ่งถ้ามีค่าน้อยกว่านี้ก็ไม่มีความจำเป็นต้องรับประทานยารักษาโรคกระดูกพรุน

ในกรณีที่ผู้ป่วยเกิดกระดูกสะโพกหัก หรือกระดูกสันหลังยุบแล้ว ผู้ป่วยเหล่านี้มีความจำเป็นต้องรับการรักษาโรคกระดูกพรุน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกระดูกหักเพิ่มขึ้นอีก เช่น ในผู้ป่วยที่มีกระดูกสันหลังยุบจากโรคกระดูกพรุน พบว่าถ้าไม่ได้ให้การรักษาที่เหมาะสมจะพบว่าผู้ป่วยมีโอกาสเกิดกระดูกหักเพิ่มขึ้นอีกประมาณร้อยละ 20

สำหรับปัจจุบัน ยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนจะมีอยู่ 2 ประเภทคือ
1. ยาที่ยับยั้งการทำลายกระดูก เช่น
  • ยาในกลุ่ม Bisphosphonates ที่มีหลากหลายชนิดเช่น ชนิดที่รับประทานอาทิตย์ละ 1 เม็ดเช่น Alendronate (Fosamax plus), Risedronate (Actonel), หรือชนิดที่ฉีดปีละ 1 ครั้งเช่น Zoledronate (Aclasta)
  • ยา Strontium (Protaxos) มีฤทธิ์ในการยับยั้งการทำลายกระดูก 
  • ยาในกลุ่มที่เป็นแอนติบอดี้ มีผลยับยั้งการทำลายกระดูกที่ระดับเซลล์ และไม่มีผลต่อไต ได้แก่ Denosumab (Prolia) ซึ่งใช้ฉีดใต้ผิวหนังทุกๆ 6 เดือน 
สำหรับระยะเวลาในการรักษาโรคกระดูกพรุน แพทย์มักจะแนะนำให้ยาแก่ผู้ป่วยประมาณ 3 - 5 ปี 

2. ยาที่กระตุ้นการสร้างกระดูก  ซึ่งมีผลในการสร้างกระดูกโดยตรง ได้แก่ teriparatide (Forteo)  มีข้อบ่งชี้ในผู้ป่วยที่มีกระดูกหักหลายตำแหน่ง เช่น กระดูกสันหลังยุบมากกว่า 2 ตำแหน่ง กระดูกสะโพกหัก หรือเช่นในผู้ป่วยรายที่ยกตัวอย่างข้างต้น ที่มีกระดูกสันหลังยุบมากกว่า 2 ตำแหน่ง ยานี้ใช้ฉีดใต้ผิวหนังทุกวัน นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ในการลดปวดหลังได้ด้วย

การพิจารณาให้ยาแต่ละชนิดขึ้นอยู่กับความเหมาะสมแต่ละราย และดุลยพินิจของแพทย์ ซึ่งต้องมีการพูดคุยและอธิบายประโยชน์ ข้อดี ข้อเสียของยาแต่ละประเภทให้ผู้ป่วยฟังอีกครั้ง โดยมีวัตถุประสงค์ร่วมกันคือการป้องกันการเกิดกระดูกหักในอนาคต