วันพุธที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ปวดหลังในผู้สูงอายุจากกระดูกพรุน: รักษาอย่างไรให้ได้ผล?”

“ปวดหลังในผู้สูงอายุจากกระดูกพรุน: รักษาอย่างไรให้ได้ผล?”

อาการปวดหลังในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะที่เกิดจาก โรคกระดูกพรุน และกระดูกสันหลังทรุด (Vertebral Compression Fracture) เป็นปัญหาที่พบบ่อยในประเทศไทย ผู้สูงอายุหลายคนอาจไม่ทราบว่าปวดหลังเรื้อรังของพวกเขาเกิดจากความเปราะบางของกระดูกที่ทรุดตัวลงจากโรคกระดูกพรุน

ทำไมกระดูกพรุนจึงนำไปสู่กระดูกสันหลังทรุด?

เมื่อกระดูกพรุน ความหนาแน่นของกระดูกจะลดลง ทำให้กระดูกไม่สามารถรับแรงกดดันในชีวิตประจำวันได้ เช่น การก้มตัว การยกของ หรือแม้แต่การจาม จนเกิดกระดูกสันหลังทรุด ส่งผลให้ปวดหลังอย่างรุนแรงและเคลื่อนไหวลำบาก

การรักษามี 2 ระยะสำคัญ

1. ลดอาการปวดอย่างเร่งด่วน

ผู้ป่วยที่มีกระดูกสันหลังทรุดมักมีอาการปวดหลังรุนแรง การรักษาเพื่อบรรเทาปวดทำได้โดยการ ฉีดยาเข้าโพรงประสาท (Epidural Injection) ซึ่งช่วยลดการอักเสบและลดการกดทับของเส้นประสาท ข้อดีของวิธีนี้ คือทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาเคลื่อนไหวได้เร็วขึ้นและใช้ชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น ลดอาการปวดได้มากในช่วงแรก

2. ฟื้นฟูและป้องกันกระดูกพรุน

หลังจากลดอาการปวดแล้ว จำเป็นต้องรักษาที่ต้นเหตุของโรคด้วยการเพิ่มความแข็งแรงของกระดูก โดยใช้ยากลุ่ม Teriparatide ซึ่งเป็นยาที่ช่วยกระตุ้นการสร้างกระดูกใหม่ ยานี้จะช่วยให้กระดูกแข็งแรงขึ้นและลดโอกาสที่กระดูกจะทรุดซ้ำในอนาคต

สิ่งที่ประชาชนควรรู้

• อาการปวดหลังรุนแรงในผู้สูงอายุไม่ควรมองข้าม เพราะอาจเป็นสัญญาณของกระดูกพรุนและกระดูกทรุด

• การรักษาโรคกระดูกพรุนในระยะยาวเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น กระดูกหักในบริเวณอื่น

• ควบคู่กับการรักษา ควรดูแลสุขภาพด้วยการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม ปลาตัวเล็ก และออกกำลังกายเบาๆ อย่างเหมาะสม

“การดูแลกระดูกของเราในวันนี้ คือการลงทุนเพื่อสุขภาพในอนาคต” หากท่านหรือผู้สูงอายุในบ้านกำลังประสบกับอาการปวดหลัง อย่ารอช้า รีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาที่เหมาะสม

#ดูแลกระดูกให้แข็งแรง #ปวดหลัง #กระดูกพรุน #กระดูกสันหลังทรุด #หมอเก่งกระดูกและข้อ

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ความเสี่ยงในการเกิดกระดูกหักในผู้ป่วยโรคกระดูกพรุน: รู้ก่อน ป้องกันได้!!!

ความเสี่ยงในการเกิดกระดูกหักในผู้ป่วยโรคกระดูกพรุน: รู้ก่อน ป้องกันได้!!!

โรคกระดูกพรุน หรือที่เราเรียกกันว่า “โรคกระดูกบาง” เป็นภาวะที่กระดูกสูญเสียความหนาแน่นและความแข็งแรง ทำให้กระดูกเปราะบางและเสี่ยงต่อการแตกหักได้ง่าย การเกิดกระดูกหักในผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เพราะการหักของกระดูกสามารถส่งผลกระทบทั้งทางร่างกายและจิตใจ ในบทความนี้ เราจะมาทำความเข้าใจกันว่าทำไมผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุนถึงมีความเสี่ยงที่จะกระดูกหักง่ายขึ้น และเราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อป้องกันความเสี่ยงนี้

ทำไมผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุนถึงมีความเสี่ยงสูงในการเกิดกระดูกหัก?

1. กระดูกที่บางและเปราะบาง

ในภาวะกระดูกพรุน กระดูกของเราจะบางลงเรื่อย ๆ ทำให้ความหนาแน่นและความแข็งแรงของกระดูกลดลง การที่กระดูกบางมากจะทำให้เปราะและแตกหักได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นกระดูกสันหลัง สะโพก หรือแม้กระทั่งข้อมือ การหกล้มหรือกระแทกเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้กระดูกหักได้

2. การหกล้มที่ง่ายขึ้น

ผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุนมักเป็นผู้สูงอายุซึ่งมักจะมีการทรงตัวที่ไม่ดี การเคลื่อนไหวที่ช้าลง รวมถึงความสามารถในการมองเห็นที่ลดลง ทำให้มีโอกาสหกล้มได้ง่าย การหกล้มเพียงครั้งเดียวอาจนำไปสู่การหักของกระดูกสะโพกหรือกระดูกข้อมือได้ ซึ่งอาจส่งผลให้ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

3. การฟื้นตัวที่ยากและช้ากว่าปกติ

เมื่อเกิดกระดูกหัก ผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนมักฟื้นตัวได้ช้ากว่าคนทั่วไป เพราะกระดูกที่อ่อนแอทำให้การซ่อมแซมตัวเองของกระดูกเกิดได้ยาก การหักของกระดูกอาจทำให้เกิดความเจ็บปวดและจำกัดการเคลื่อนไหว จนต้องนอนพักเป็นเวลานาน สิ่งนี้อาจส่งผลให้สุขภาพโดยรวมแย่ลงและเพิ่มความเสี่ยงของภาวะอื่น ๆ ตามมา เช่น ภาวะเสื่อมสภาพของกล้ามเนื้อและข้อต่อ

กระดูกส่วนใดบ้างที่เสี่ยงหักในผู้ป่วยโรคกระดูกพรุน?

1. กระดูกสะโพก

การหักของกระดูกสะโพกเป็นภาวะที่พบบ่อยที่สุดในผู้ป่วยโรคกระดูกพรุน การหักของสะโพกส่งผลกระทบอย่างรุนแรงและอาจต้องเข้ารับการผ่าตัด ซึ่งทำให้ผู้ป่วยบางคนต้องอยู่ในสถานพักฟื้นหรือได้รับการดูแลเป็นพิเศษ

2. กระดูกสันหลัง

กระดูกสันหลังอาจหักได้เองจากการทรุดตัวของกระดูกซึ่งเป็นผลมาจากกระดูกที่บาง การหักของกระดูกสันหลังอาจทำให้เกิดอาการปวดหลังเรื้อรังหรือแม้กระทั่งเสียความสูงเนื่องจากการยุบตัวของกระดูก

3. กระดูกข้อมือ

กระดูกข้อมือมักหักได้ง่ายเมื่อเกิดการล้มและยื่นมือออกมารับน้ำหนัก การหักของกระดูกข้อมืออาจทำให้ผู้ป่วยใช้งานมือได้ลำบากและต้องใช้เวลาในการรักษานาน

วิธีป้องกันความเสี่ยงในการเกิดกระดูกหัก

1. เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง

การรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดีสูง เช่น นม ปลาแซลมอน และผักใบเขียว ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับกระดูกได้ การเสริมวิตามินหรือแคลเซียมตามคำแนะนำของแพทย์ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง

2. ออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อและความสมดุล

การออกกำลังกายแบบเบา ๆ เช่น การเดิน โยคะ หรือการฝึกความสมดุล จะช่วยลดโอกาสการหกล้มและเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่ช่วยพยุงกระดูก

3. ตรวจมวลกระดูกอย่างสม่ำเสมอ

การตรวจมวลกระดูกจะช่วยให้เรารู้สถานะของกระดูกและสามารถปรับแผนการรักษาให้เหมาะสมได้ เช่น การปรับยา การเสริมแคลเซียม หรือการรักษาโรคกระดูกพรุนตามคำแนะนำของแพทย์

4. ปรับสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัย

การลดความเสี่ยงของการหกล้มในบ้าน เช่น การติดตั้งราวจับในห้องน้ำ หลีกเลี่ยงการวางสิ่งของกีดขวาง และใช้ไฟส่องสว่างที่เพียงพอในบ้าน จะช่วยลดโอกาสการหกล้มได้

สรุป

การเกิดกระดูกหักในผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนเป็นสิ่งที่อาจทำให้เกิดความเจ็บปวดและส่งผลต่อคุณภาพชีวิต แต่เราสามารถลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้ด้วยการดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย ตรวจมวลกระดูก และปรับสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัย การป้องกันความเสี่ยงในการเกิดกระดูกหักจะช่วยให้เราใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและแข็งแรง

“ดูแลกระดูกให้แข็งแรง ตั้งแต่วันนี้ เพื่อสุขภาพที่ยั่งยืนในวันหน้า”

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2567

คนไทยต้องการแคลเซียมวันละเท่าไหร่? จำเป็นต้องทานแคลเซียมเม็ดไหม?

คนไทยต้องการแคลเซียมวันละเท่าไหร่? จำเป็นต้องทานแคลเซียมเม็ดไหม?


แคลเซียมเป็นแร่ธาตุสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง หลายคนอาจสงสัยว่า เราควรได้รับแคลเซียมวันละเท่าไหร่ และจำเป็นต้องทานแคลเซียมในรูปแบบเม็ดเสริมหรือเปล่า? มาดูคำตอบกัน!


คนไทยต้องการแคลเซียมวันละเท่าไหร่?


• ผู้ใหญ่ทั่วไป: ต้องการแคลเซียมประมาณ 800-1,000 มิลลิกรัมต่อวัน

• ผู้สูงอายุ (โดยเฉพาะผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนและผู้ชายอายุ 50 ปีขึ้นไป): ควรได้รับ 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน

• เด็กและวัยรุ่น: ช่วงอายุที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโต ต้องการแคลเซียมมากขึ้น ประมาณ 1,000-1,300 มิลลิกรัมต่อวัน


เราจะได้รับแคลเซียมจากไหนบ้าง?


ส่วนใหญ่เราได้รับแคลเซียมจากอาหาร เช่น นม โยเกิร์ต เต้าหู้ ปลาตัวเล็กตัวน้อย และผักใบเขียว การทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงเป็นประจำก็เพียงพอที่จะทำให้กระดูกแข็งแรงได้


จำเป็นต้องทานแคลเซียมเม็ดหรือเปล่า?


จริงๆ แล้ว ไม่จำเป็นเสมอไป ที่ต้องทานแคลเซียมเม็ดเสริม ถ้าคุณสามารถทานอาหารที่มีแคลเซียมได้เพียงพอในแต่ละวัน แต่ในบางกรณี เช่น ผู้ที่มีปัญหาในการดูดซึมแคลเซียม หรือผู้ที่ไม่สามารถรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมเพียงพอ แพทย์อาจแนะนำให้ทานแคลเซียมเม็ดเสริม


ถ้าทานมากเกินไปจะเป็นอันตรายหรือไม่?


การทานแคลเซียมมากเกินไป อาจทำให้เกิดปัญหา เช่น นิ่วในไต หรือการสะสมแคลเซียมในหลอดเลือด ดังนั้นควรทานในปริมาณที่เหมาะสม และถ้าคิดว่าจะต้องทานเสริม ควรปรึกษาแพทย์ก่อน


สรุป:


• ถ้าคุณทานอาหารที่มีแคลเซียมเพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องทานแคลเซียมเม็ดเสริม

• การทานแคลเซียมเม็ดเสริมควรทำเมื่อมีข้อจำกัดทางอาหารหรือมีความเสี่ยงสูงตามคำแนะนำของแพทย์


#แคลเซียม #สุขภาพกระดูก #กระดูกแข็งแรง #อาหารเสริมแคลเซียม”


ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

 https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

โทร 0815303666

 



#แคลเซียม #อาหารเสริมแคลเซียม #สุขภาพกระดูก #กระดูกแข็งแรง #แคลเซียมเม็ด


มาดูแลกระดูกด้วยการทานอาหารที่มีประโยชน์ เพียงพอต่อความต้องการแคลเซียมของร่างกาย!

วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ถ้าพ่อแม่กระดูกหักจากกระดูกพรุน เราทานแคลเซียมเลย จะช่วยป้องกันกระดูกหักได้ไหม?

ถ้าพ่อแม่กระดูกหักจากกระดูกพรุน เราทานแคลเซียมเลย จะช่วยป้องกันกระดูกหักได้ไหม?

ถ้าพ่อแม่ของคุณเคยกระดูกหักจาก โรคกระดูกพรุน หลายคนอาจจะกังวลและคิดว่า “เราจะเป็นเหมือนพ่อแม่ไหม?” แล้วถ้าเริ่มทานแคลเซียมทันที จะช่วยป้องกันกระดูกหักได้หรือเปล่า? มาดูคำตอบกัน!

ถ้าพ่อแม่กระดูกหักจากโรคกระดูกพรุน เราจะเสี่ยงไหม?

คำตอบคือ ใช่ ถ้ามีคนในครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุนและมีกระดูกหัก คุณก็อาจมีความเสี่ยงมากขึ้น เนื่องจากปัจจัยทางพันธุกรรมมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะเราสามารถลดความเสี่ยงนี้ได้ด้วยการดูแลตัวเองให้ดีตั้งแต่เนิ่นๆ

การทานแคลเซียมช่วยป้องกันกระดูกหักได้ไหม?

แคลเซียม ช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงได้ แต่การทานแคลเซียมเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในการป้องกันกระดูกหัก คุณควรปฏิบัติตามวิธีอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น:

1. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกาย เช่น การเดิน การวิ่ง หรือการยกน้ำหนักเบาๆ ช่วยเสริมสร้างกระดูกและกล้ามเนื้อให้แข็งแรงขึ้น

2. รับวิตามินดี: วิตามินดีช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น ลองออกไปสัมผัสแสงแดดอ่อนๆ ในตอนเช้าหรือทานอาหารที่มีวิตามินดีสูง เช่น ปลา ไข่แดง

3. ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต: เลิกสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากสิ่งเหล่านี้ทำให้กระดูกเสื่อมเร็วขึ้น

4. ตรวจสุขภาพกระดูก: หากคุณมีความเสี่ยงสูง เช่น มีคนในครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจความหนาแน่นของกระดูกเป็นประจำ

สรุป:

การทานแคลเซียมเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน แต่การดูแลสุขภาพกระดูกควรทำร่วมกับการออกกำลังกาย การรับวิตามินดี และการดูแลสุขภาพโดยรวม จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดกระดูกหักได้มากที่สุด

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

#แคลเซียม #กระดูกพรุน #ป้องกันกระดูกหัก #สุขภาพกระดูก #กระดูกแข็งแรง

มาดูแลกระดูกให้แข็งแรงตั้งแต่วันนี้ เริ่มต้นง่ายๆ จากตัวคุณเอง!

วันพุธที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2567

โรคประจำตัวอะไรบ้างที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน?

โรคประจำตัวอะไรบ้างที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน?

นอกจากอายุและพฤติกรรมการใช้ชีวิตแล้ว ยังมี โรคประจำตัวบางชนิด ที่สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิด โรคกระดูกพรุน ได้โดยที่หลายคนอาจไม่รู้ตัว มาดูกันว่าโรคไหนบ้างที่ต้องระวัง!

โรคประจำตัวที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน:

1. โรคไทรอยด์

คนที่มีภาวะไทรอยด์ทำงานมากเกินไป (Hyperthyroidism) จะทำให้การเผาผลาญในร่างกายสูงขึ้น ซึ่งมีผลทำให้กระดูกบางลงได้เร็วขึ้น

2. โรคเบาหวาน

ผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 และ 2 มีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรคกระดูกพรุน เนื่องจากฮอร์โมนอินซูลินที่ไม่สมดุลอาจส่งผลกระทบต่อการสร้างกระดูก

3. โรคลำไส้และการดูดซึมผิดปกติ

ผู้ที่มีปัญหาโรคลำไส้ เช่น โรคลำไส้อักเสบ หรือภาวะดูดซึมสารอาหารผิดปกติ จะมีปัญหาในการดูดซึมแคลเซียมและวิตามินดี ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างกระดูก

4. โรคตับและไตเรื้อรัง

ตับและไตมีบทบาทในการควบคุมระดับแคลเซียมในร่างกาย หากมีความผิดปกติในตับหรือไต จะส่งผลต่อการดูดซึมแคลเซียมและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดกระดูกพรุน

5. โรคข้ออักเสบเรื้อรัง (Rheumatoid Arthritis)

การอักเสบที่เรื้อรังทำให้กระดูกเสื่อมได้เร็วขึ้น รวมถึงการใช้ยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์ ที่ใช้รักษาโรคข้ออักเสบ ก็เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดกระดูกพรุนเช่นกัน

6. โรคระบบฮอร์โมนผิดปกติ

ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับฮอร์โมน เช่น โรคคุชชิง (Cushing’s syndrome) ที่เกิดจากการมีฮอร์โมนคอร์ติซอลในร่างกายมากเกินไป จะทำให้กระดูกเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว

ทำอย่างไรเมื่อมีโรคประจำตัว?

หากคุณมีโรคประจำตัวเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการดูแลกระดูก เช่น การเสริมแคลเซียมและวิตามินดี การออกกำลังกายที่เหมาะสม และการตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก (Bone Density Test) เป็นประจำ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

#กระดูกพรุน #โรคประจำตัว #ป้องกันกระดูกพรุน #สุขภาพกระดูก #กระดูกแข็งแรง

มาดูแลสุขภาพกระดูกให้แข็งแรงตั้งแต่วันนี้ ป้องกันก่อนที่จะสายเกินไป!

วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ยารักษาโรคกระดูกพรุน: มีกี่กลุ่ม อะไรบ้าง และกลไกการออกฤทธิ์

ยารักษาโรคกระดูกพรุน: มีกี่กลุ่ม อะไรบ้าง และกลไกการออกฤทธิ์

โรคกระดูกพรุนเป็นปัญหาสุขภาพที่ส่งผลกระทบต่อความแข็งแรงของกระดูก ทำให้กระดูกบางและแตกหักง่าย การรักษาโรคกระดูกพรุนมีหลายวิธี หนึ่งในนั้นคือการใช้ยา ซึ่งยารักษาโรคกระดูกพรุนสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้

1. ยากลุ่มยับยั้งการสลายกระดูก (Anti-resorptive agents)

กลไกของยากลุ่มนี้คือ การลดหรือยับยั้งการทำงานของเซลล์สลายกระดูก (Osteoclasts) ทำให้กระดูกไม่ถูกทำลายหรือถูกสลายน้อยลง กลุ่มยาที่ใช้บ่อยได้แก่:

• บิสฟอสโฟเนต (Bisphosphonates): เช่น อะเลนโดรเนต (Alendronate), ริเซดรอเนต (Risedronate), และโซเลดรอเนต (Zoledronate) ยากลุ่มนี้ช่วยลดการสลายกระดูกและเพิ่มความแข็งแรงของกระดูก ลดความเสี่ยงในการเกิดกระดูกหักได้อย่างมีประสิทธิภาพ

• เอสโตรเจน (Estrogen): สำหรับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ยาเอสโตรเจนช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก เนื่องจากเอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างและรักษาความแข็งแรงของกระดูก แต่มีข้อควรระวังเกี่ยวกับผลข้างเคียงต่อหัวใจและหลอดเลือด

• Selective Estrogen Receptor Modulators (SERMs): ยากลุ่มนี้ เช่น ราลอกซิฟีน (Raloxifene) มีการออกฤทธิ์คล้ายเอสโตรเจนในการปกป้องกระดูก แต่ไม่ส่งผลต่อเนื้อเยื่ออื่นๆ ในร่างกายเช่น มดลูกและเต้านม

• RANK ligand inhibitors: ยาเดนูซูแมบ (Denosumab) ยานี้ทำงานโดยการยับยั้งการทำงานของโปรตีนที่กระตุ้นการทำลายกระดูก ทำให้กระดูกเสื่อมช้าลง

2. ยากลุ่มกระตุ้นการสร้างกระดูก (Anabolic agents)

กลไกของยากลุ่มนี้คือการกระตุ้นการทำงานของเซลล์สร้างกระดูก (Osteoblasts) ทำให้กระดูกถูกสร้างขึ้นใหม่และเพิ่มความแข็งแรงของกระดูก กลุ่มยาที่ใช้ได้แก่:

• Teriparatide (PTH 1-34): เป็นฮอร์โมนสังเคราะห์ที่คล้ายกับฮอร์โมนพาราไทรอยด์ ยานี้ช่วยกระตุ้นการสร้างกระดูกใหม่ เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่กระดูกพรุนอย่างรุนแรงหรือผู้ที่มีกระดูกหักบ่อยครั้ง

• Romosozumab: ยาตัวนี้ช่วยกระตุ้นการสร้างกระดูกใหม่และลดการสลายกระดูกในเวลาเดียวกัน ทำให้กระดูกมีความหนาแน่นมากขึ้น

ความแตกต่างและการเลือกใช้ยา

การเลือกใช้ยารักษาโรคกระดูกพรุนขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น อายุ เพศ ระดับความรุนแรงของโรค และความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหัก การรักษาในระยะเริ่มแรกมักใช้ยากลุ่มยับยั้งการสลายกระดูก แต่หากผู้ป่วยมีกระดูกพรุนขั้นรุนแรง อาจพิจารณาใช้ยากลุ่มกระตุ้นการสร้างกระดูก

ข้อแนะนำ: การใช้ยารักษาโรคกระดูกพรุนควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เนื่องจากยาแต่ละชนิดมีข้อดี ข้อเสีย และผลข้างเคียงที่แตกต่างกัน การปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเหมาะสมในการใช้ยาจะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพและปลอดภัย

การป้องกันและการรักษาโรคกระดูกพรุนอย่างเหมาะสม เป็นสิ่งสำคัญ การเลือกใช้ยาที่ถูกต้องและเหมาะสมจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดกระดูกหักและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้อย่างมาก

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

บรรยายโรคกระดูกพรุน

บรรยายโรคกระดูกพรุนสำหรับนักศึกษาแพทย์ แพทย์ และบุคคลที่สนใจ